Sunday, May 5, 2024
spot_img
Home Blog Page 304

“Centre Point @ Pattaya” อีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับที่พักดีๆ

0

โรงแรม Centre Point Pattaya เพิ่งฉลองวันเปิดตัวโรงแรมไปได้ไม่นานมานี้เอง ถือเป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่การันตีได้ว่ามีคุณภาพและเป็นโรงแรมที่มีชื่ออยู่อันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ และการที่ลูกค้าจะตกลงยินยอมหรือเต็มใจเข้าพัก จึงเป็นการง่ายมากที่จะติดสินใจในการเลือกที่พัก

โรงแรม Centre Point Pattaya เพิ่งฉลองวันเปิดตัวโรงแรมไปได้ไม่นานมานี้เอง ถือเป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่การันตีได้ว่ามีคุณภาพและเป็นโรงแรมที่มีชื่ออยู่อันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ และการที่ลูกค้าจะตกลงยินยอมหรือเต็มใจเข้าพัก จึงเป็นการง่ายมากที่จะติดสินใจในการเลือกที่พัก

ขับรถไปทางพัทยาเหนือ เราสามารถที่จะมองเห็นตึกที่สูงระฟ้าของโรงแรมได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นในช่วงกลางวันหรือตอนกลางคืน แต่ในช่วงกลางคืนก็ต้องสังเกตุไฟป้ายชื่อของโรงแรมที่ออกสีฟ้าๆ แต่ความสูงของตัวอาคารนี่เห็นได้อย่างชัดเจนและโดเด่นเอามากๆ

โรงแรม Centre Point Pattaya  จะตั้งอยู่ริมระหว่างซอยสุขุวิทพัทยา 31 ถึงซอยสุขุวิทพัทยา 33 ถ้าขับเลยไปอีกหน่อยก็จะเป็นเมืองจำลองพัทยาและโรงพยาบาลกรุงเทพฯพัทยา พิกัดหาได้ไม่ยาก แต่ให้ดีปักหมุดจาก Google Maps ไปเลยน่าจะสะดวกกว่า 

โรงแรม Centre Point Pattaya มีทั้งหมด 29 ชั้น พร้อมห้องพักมากถึง 556 ห้อง เมื่อมองจากยอดของตัวอาคารลงมา จะเห็นว่ามีการออกแบบและแบ่งออกเป็นสัดส่วน ด้านบนสุดจะทำเป็นห้องรับรองลูกค้า (Sea View Lounge) เพื่อให้ไปนั่งเล่นและชมวิวที่มีมุมมอง 180 องศา ไล่สายตาลงมาก็จะเจอกับห้องฟิตเนสและสระน้ำที่มีเอาไว้พร้อมบริการให้กับลูกค้า ขับรถผ่านด้านหน้าของโรงแรมอ้อมไปด้านหลังเพื่อทำการจอดรถ เราสามารถเข้าไปทางด้านหลังเพื่อเข้าไปทำการเช็คอินได้เลย 

ด้วยการออกแบบที่ดูโปร่งและมีเพดานที่สูง  ตกแต่งด้วยโคมไฟเป็นวงๆ ซ้อนกัน ทำให้ดูหรูหราและร่วมสมัยเอามากๆ พื้นถุกปูด้วยอินอ่อนสีขาวดูสะอาดตา และปูด้วพรมสีน้ำเงินเข้มๆ มันช่างลงตัวเอามากๆ พนักงานยิ้มแย้มแจ่มใสพร้อใกับเอ่ยทักทายลูกค้าที่มาใช้บริการ หลังจากรับคีย์การ์ดเสร็จก็พากันเดินลากกระเป๋าตรงไปขึ้นลิฟท์ยังบริเวณด้านใน เข้าลิฟท์ไปแล้วลูกค้าก็จะต้องใช้คียร์การ์ดในการกดขึ้นไปยังชั้นของเรา แตะคีย์การ์ดเสร็จพร้อมกับทำการกดชั้นที่เราจะพักก็เป็นเสร็จ เป็นการสร้างระบบความปลอดภัยได้เป็นอย่างดี

เดินออกจากลิฟท์ก็พากันเดินลากกระเป๋าเดินทางเพื่อไปยังห้องพัก ป้ายบอกหมายเลขห้องมองดูชัดเจน ด้วยโทนสีครีมๆ และพื้นที่ปูด้วยหินอ่อน มันจึงช่วยสร้างความรู้สึกหรูหราสะอาดสะอ้านดีจริงๆ 

โรงแรม Centre Point Pattaya จะมีห้องพักอยู่สองแบบคือ Delux และ Grand Delux ราคาก็จะแตกต่างกันด้วยขนาด ความหรูหรา และสิ่งอำนวยความสะดวก ห้อง Delux ราคาก็อยู่ที่พันกว่าบาทบวกๆ สำหรับห้อง Grand Delux ราคาก็จะสูงขึ้นไปอีก ประมาณสองพันบาทบวกๆ อุปกรณ์ที่มีอยู่ภายในห้องก็จะมี TV (ระบบดาวเทียม), ตู้เซฟ, เตาไมโครเวฟ, ตู้เย็น, Plug & Play Stereo, ไดร์เป่าผม, กาต้มน้ำร้อน, อุปกร์เครื่องครัวที่มีทั้งจาน, ชาม, ช้อนและส้อม น้ำดื่มก็มีมาให้ถึง 4 ขวดต่อวัน นอกจากนั้นยังมี ชา, กาแฟ และมินิบาร์เล็กๆ ให้อีกด้วย

ห้อง Delux จะมีขนาดเล็กกระทัดรัด แต่ก็ไม่ถึงกับอึดอัด การแบ่งสันปันส่วนก็ทำได้ลงตัว เปิดประตูเข้าไปก็จะเจอกับห้องนั่งเล่นทางด้านขวามือ มีชุดโซฟาและทีวีเอาไว้ให้นั่งดูก่อนเข้าห้องนอน ติดกับกระจกที่ระเบียจะมีชุดโต๊ะและเก้าอี้เอาไว้ให้เรานั่งรับประทานอาหารกันด้วย

ด้านซ้ายที่ติดกับประตูจะเป็นเค้าว์เตอร์ชุดครัวและห้องน้ำ ถัดจากห้องน้ำก็จะเป็นห้องขนาดใหญ่ที่นอนกันได้ถึงสองคนแบบสบายๆ ต้องบอกว่าที่นอนของโรงแรมนี้ดูดวิญญาณกันเลยทีเดียว ภายในห้องนอนก็จะมีตู้เซฟเอาไว้เก็บของมีค่า มีชุด Plug & Play Stereo และไดร์เป่าผมวางเอาไว้ให้ด้วย

ห้อง Grand Delux จะมีขนาดใหญ่กว่าห้อง Delux มากพอสมควร เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพื้นที่ใช้สอย ดูแล้วไม่อึดอัด ความรู้สึกจะเหมือนว่าเราอยู่ที่บ้านประมาณนั้น ภายในห้องก็มีห้องนั่งเล่นที่มีชุดโซฟา ทีวี ตู้เย็น  ก็ประมาณว่าครบครันกันเลยทีเดียว ทุกๆ ห้องทั้ง Grand Delux และ Delux ส่วนมากจะมีระเบียงเอาไว้ เพื่อให้ออกไปยืนชมวิวทิวทัศน์ของเมืองพัทยาได้กันอย่างเพลินๆ

ห้อง Sea View Lounge จะอยู่บริเวณชั้นที่ 22 เป็นห้องที่มีเอาไว้คอยบริการลูกค้า ภายในห้องจะถูกออกแบบอย่างหรูหรา มีเค้าว์เตอร์และชุดเก้าอี้โซฟาเอาไว้ให้ได้เลือกนั่งตามใจชอบ ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน มีทั้งชา, กาแฟ, เครื่องดื่ม และผลไม้ ด้านบนเพดานยังถูกประประดาไปด้วยโคมไฟระย้าที่เป็นคริสตัลสีน้ำเงิน ในยามที่ต้องแสงไฟมันระยิบระยับแพรวพราวสวยงาม ที่นี่ลูกค้าสามารถที่จะมองเป็นเห็นวิวทิวทัศน์ของเมือพัทยาได้ถึง 180 องศากันเลยทีเดียว  

sdr_soft

สำหรับโรงแรม Centre Point Pattaya มีให้บริการทั้งในรูปแบบของการพักระยะยาว และแบบระยะสั้น คือเป็นทั้งโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ประมาณนั้น ก็สุดแท้แล้วแต่ว่าลูกค้าจะะเลือกใช้บริการกันในรูปแบบไหน 

ในส่วนของบริเวณทางเข้าด้านหน้าโรงแรม ที่นี่จะทำเป็นสวนสวยสีเขียวสดชื่นไปด้วยต้นไม้และพื้นที่ปูไปด้วยหญ้า มีสนามเด็กเล่น มีเก้าอี้ม้านั่ง มีเปลที่ถักด้วยหวายเทียมให้เราได้นั่งเล่นแกว่งไกวไปมา มีประติมากรรมที่ทำเป็นรูปปลาโลมาโผล่พ้นจากพื้นหญ้า ที่ถือเป็นสัญลักษ์และสร้างสีสันให้กับสถานที่ได้ดีทีเดียว 

สำหรับใครที่กำลังมองหาที่พักที่เมืองพัทยา ที่นี่แนะนำได้เลย เป็นโรงแรมที่ถือว่าตอบโจทย์ในหลายๆ ด้าน โรงแรมห่างจาก Mini Siam Pattaya เพียงแค่ 800 เมตรเท่านั้นเอง แถมยังอยู่ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่อย่าง Terminal 21 อีกด้วย ขาช้อปปิ้งคงเพลินกันหละทีนี้

สนใจติดต่อขอจองห้องพักกันได้ที่เบอร์โทร 038 186 888 หรือที่เว็บไซต์ www.centrepoint.com/pattaya

ขับรถ Mazda CX-30 ล่องใต้ พาไปชม “ควายน้ำ” ที่ พัทลุง

0

ขับรถท่องเที่ยวไปก็หลายที่ ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง คราวนี้ก็เลยลองไปเที่ยวทางภาคใต้กันบ้าง สถานที่สวยๆ ดังๆ และผู้คนกล่าวถึงก็มีมากมายหลายแห่ง แต่ที่เราอยากจะไปเที่ยวมากที่สุดก็ต้องเป็น ทะเลน้อย จ.พัทลุง ที่นี่มีอะไรดี และมีดีอย่างไร ตามเราไปเรื่อยๆ ครับ

การเดินทางในทริปนี้ เราได้รถยนต์ Mazda CX-30 เป็นยานพาหนะคู่การเดินทางท่องเที่ยว เป็นรถ SUV ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G ขนาด 2.0 ลิตร 1,998 ซีซี. DOHC แบบ 4 สูบ Dual S-VT Electronic Direct Injection กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.5 x 91.2 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 13.0 : 1  กำลังสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 213  นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ SKYACTIV ขับเคลื่อนล้อหน้า รองรับน้ำมันสูงสุด E85 เรียกได้ว่ารถรุ่นนี้จัดมาให้แบบครบๆ เต็มๆ กันเลยทีเดียว ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและภายใน ในเรื่องของสมรรถนะนี่ไม่ต้องพูดมาก ก็แบบชนิดที่ว่า ทุกการขับขี่และทุกการเดินทาง มั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์กันเลยทีเดียว

เริ่มสตาร์ทและเปิดเฟรมก็ต้องที่ร้านกาแฟสิครับ แหม! พลาดได้ไง กาแฟมันคื่อส่วนหนึ่งของชีวิต และยังเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเดินทางเสียอีกด้วยสิ ขับรถเลี้ยวเข้าไปยังปั๊มพีที แะก็ไปจอดซื้อกาแฟกันที่ร้านกาแฟพันธุ์ไทย คือที่เลือกกาแฟพันธุ์ไทยก็เพราะว่า กาแฟรสชาติดี แถมยังจัดโปรฯ ได้ถูกใจคนคอกาแฟอย่างเราอีกด้วย แอบเชียร์กันนิดนึงนะ 5555+

ได้กาแฟกันแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ ก็จัดกาแฟกันคนละแก้ว ทั้งอเมริกาโน่เย็นไม่หวาน และเอสส้ม คราวนี้ก็เดินทางกันยาวๆ โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ ทะเลน้อย จ.พัทลุง ระยะทางจากบ้านเพื่อเดินทางไปยังทะเลน้อย ก็อยู่ที่ เกือบๆ 900 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางก็ 12 ชั่วโมงครึ่ง ระยะทางประมาณนี้เราจะขับกันยาวเห็นทีจะเหนื่อยกันแน่ๆ เราก็เลยคุยกันว่าจะนอนพักระหว่างทางกันที่หัวหิน เราเดินทางถึงหัวหินเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ คืนนี้เราเลือกพักกันที่ Hop Inn เพราะที่นี่เป็นโรงแรมที่ตอบโจทย์ค่อนข้างครบ แถมราคายังเป็นมิตรกันอีกด้วย ตื่นเช้ามาที่ชั้นล่างก็มีกาแฟบริการกันอีกด้วย ดีงามจริงๆ 

เดินทางถึง Hop Inn เวลาสองทุ่มกว่าๆ คืนนี้ก็นอนพักเอาแรงกันก่อน พอรุ่งเช้าก็ค่อยออกเดินทางกันต่อ ด้วย Mazda XCx-30 ยานพาหนะคู่การเดินทางในครั้งนี้ 

รุ่งเช้าของอีกวันหลังจากเช็คเอ้าท์เสร็จ ก่อนเดินทางก็เลยจัดกาแฟร้อนคนละแก้วพอให้ร่างกายได้สดชื่น คราวนี้ก็ได้เวลาออกเดินทางกันต่อ ก็เดินทางกันยาวๆ ก็ยังไปพุ่งเป้าไปที่ทะเลน้อย เราสองคนตกลงกันว่าจะแวะไปเดินเล่นสร้างภาพกันที่ถนนเส้นที่สวยที่สุด นั่นก็คือ ถนนสายขนอม-สิชล หรือ ถนนเลียบทะเลเขาพลายดำ จ.นครศรีฑรรมราช โดยค่ำคืนนี้เราสองคนจะพักรถบ้านกันที่ Hun Resort ซึ่งสถานที่อยู่ใกล้ๆ กับ ถนนเลียบทะเล ขนอม-สิชล จากหัวหินไปยัง Hun Resort ระยะทางประมาณ 520 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 7 ชั่วโมง 

เช้าของอีกวันที่ Hop Inn หัวหิน จัดกาแฟร้อนคนละแก้วกันแล้วก็พร้อมออกเดินทาง คราวนี้ก็ขับกันยาวๆ ตรงไปยัง Hun Resort กันเลย ระยะทาง 520 กิโลเมตรเท่านั้นเอง สบายๆ ระหว่สงการเดินทางก็มีแวะเข้าห้องน้ำ ซื้อกาแฟ หิวก็แวะรับประทานอาหารกัน ก็เดินทางกันแบบชิลล์ๆ ไม่รีบ แต่ก็ไม่ช้ามาก ความเร็วของรถก็อยู่ที่ประมาณ 80-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยยานพาหนะที่เปี่ยมไปด้วยสมรรถนะอย่างเจ้า Mazda CX-30 จึงหมดกังวลเรื่องการเดินทาง การเร่งแซงก็ทำได้ดั่งใจ จริงๆ แล้วต้องบอกว่า เจ้า Mazda CX-30 รูปทรงภายนอกอาจจะดูไม่ใหญ่โตอะไร เมื่อเปียบเทียบกับรถยนต์ SUV ของค่ายอื่น แต่ใสมุมมองและความคิดเห็นส่วนตัวเท่าที่ได้สัมผัส ก็ถือเป็นขนาดกระทัดรัด กำลังดี อีกอย่าง การเข้าจอดก็สะดวกสบาย เพราะด้วยขนาดที่ไม่ใหญ่มาก

เดินทางมาได้สักระยะหนึ่ง รู้สึกว่าน้ำมันจะเหลือไม่มากนัก เราสองคนก็เลยเลี้ยวเข้าปั๊มเพื่อเติมน้ำมันให้กับเจ้า Mazda CX-30 เป็นแก๊สโซฮอล์ 95 ก็จัดเต็มถังกันไปเลย เพราะทริปนี้เที่ยวกันแบบยาวๆ เดินทางทางออกจากปั๊มน้ำมันมาจนเข้าเขต จ.ชุมพร เราก็เจอร้านขายซาลาเปาทับหลี แวะสิครับเจอของโปรด เอาไว้กินระหว่างการเดินทาง อีกอย่างก็ตั้งใจซื้อทุกครั้งที่เจอ 

Mazda CX-30 มาพร้อมกับ Sunroof ขนาดพอประมาณ เอาไว้เปิดรับแสงหรือมองท้องฟ้าขณะเดินทาง การเปิดปิดก็ถือว่าใช้งานได้สะดวกดี รพหว่างทางก็เจอกับวิวทิวทัศน์สองข้างทาง ก็เพลินๆ กันไป วันนี้เราเจอกับรถขนหมูที่นอนเรียงรายหันก้นมาให้ทางเราเสียด้วย ก็น่ารักดี แต่จุดหมายปลายทางของเจ้าหมู่พวกนี้ก็นั่นแหละ เป็นที่รู้กัน

เดินทางได้ไม่นานเราก็มองเห็นป้าย “ยินดีต้อนรับสู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี” อ้าว! ใกล้จะถึงที่พักกันแล้วนี่หว่า จากป้ายเราก็เดินทางกันต่อไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่พัก ที่ Hun Resort มองดูนาฬิกาก็ปาเข้าไปที่ 18.35 น. ก็ใกลค่ำกันพอดี ลงจากรถได้ก็รีบกุลีกุจอถ่ายรูปกับสถานที่พักที่เป็นรถบ้านกัน แหม! นานๆ ได้นอนรถบ้านก็ขอสร้างภาพกันสักหน่อย รู้สึกว่าจะไม่หน่อยหละ งานนี้เล่นกันเกือบทุกมุมกันเลยทีเดียว 5555+

เราสองคนเลือกที่จะพักกันที่นี่ก็เพราะว่า เป็นที่พักที่อยู่ใกล้ๆ กับ ถนนเลียบทะเล ขนอม-สิชล ซึ่งเดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะได้ขับรถไปเที่ยวและสร้างภาพกัน ซึ่งระยะทางที่จะไปก็ห่างจากที่พักประมาณ 10 กิโลเมตร เท่านั้นเอง 

Hun Resort เป็นที่พักที่ออกแบบได้สวยงามทันสมัย แต่ละหลังก็จะทาสีแตกต่างกันออกไป มองดูแล้วสดชื่น ที่พักอยู่ท่ามกลางทุ่งนาและอยู่ใกล้ๆ กับทะเล บรรยากาศโอเคมากๆ อีกอย่างราคาก็ไม่แพง ที่สำคัญ อยู่ใกล้ๆ กับสถานที่ท่องเที่ยวอีกด้วย

สำหรับรถบ้านก็มีเพียงคันเดียวเท่านั้น ดีที่เราสองคนจองกันมาก่อนล่วงหน้า ไม่งั้นเป็นอดได้เข้าพักเป็นแน่แท้ ภายในรถบ้านก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งห้องน้ำ ที่นอน ทีวี ตู้เย็น ห้องนั่งเล่น (ห้องทำงาน) มีเตาไฟฟ้าเอาไว้ให้เราปรุงอาหารหรืออุ่นกับข้าวได้ด้วย บริเวด้านหน้าก็มีเก้าอี้โซฟาพร้อมโต๊ะ เอาไว้ให้ลูกค้าที่มาพักได้นั่งดื่ม นั่งกิน หรือจัดปาร์ตี้กันได้อย่างชิลล์ๆ ดีงามเข้าไปอีก

ตื่นเช้ามาด้วยความรู้สึกสดชื่น หลังจากอาบน้ำแต่งตัวและรับประทานอาหารเช้ากันเสร็จ เราสองคนก็ออกเดินทางไปชมความสวยงามพร้อมกับสร้างภาพกันที่ ถนนเลียบทะเล ขนอม-สิชล ระยะทางจากที่พักที่เดินทางไปถึงก็ประมาณ 10 กิโลเมตร ไม่ไกลมาก ยานพาหนะคู่การเดินทางก็พร้อมเสมอสำหรับการเดินทาง 

ขับรถออกจากที่พักก็เลี่ยวขวาวิ่งตามถนนเลียบชายหาด จนกระทั่งไปเจอสามแยกก็ขับเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง คราวนี้ก็ขับกันยาวๆ สองข้างทางก็เป็นต้นมะพร้าวเสียส่วนใหญ่ มีบ้านพักของชาวบ้านและร้านอาหารเรียงรายอยู่เป็นระยะๆ 

ที่ถนนเลียบทะเล ขนอม-สิชล มันจะมีจุดหรือพิกัดอยู่ คือเป็นจุดที่สวยที่สุดเวลาถ่ายรูป บริเวณตรงนี้เราจะมองเห็นภาพของถนนที่คดเคี้ยวซ้อนกันเป็นชั้นสวยงาม จุดนี้ถ้ามองจากภาพมุมสูงจะอยู่ใกล้กับทะเล แต่เราสองคนไม่ได้เดินไปที่ทะเล เพราะครั้งนี้ไม่ใช้เป้าหมาย โฟกัสของเราในครั้งนี้ก็คือ การจอดรถเพื่อสร้างภาพสวยๆ กับถนนสายที่สวยที่สุด 

เราใช้เวลาอยู่สร้างภาพที่บริเวณนี้ชั่วโมงกว่าๆ มีทั้งภาพระยะไกล ใกล้ ถ่ายภาพด้วยโดรนบ้าง มุมต่ำบ้าง และมุมสูงบ้าง ก็ได้ภาพสวยๆ จนเป็นที่พอใจ ก็ต้องบอกว่าสวยจริงๆ เชื่อผม 

จากถนนเลียบทะเล ขนอม-สิชล เราสองคนก็พากันขับรถเลยไปจนสุดถนน แหม! ไหนๆ  ก็มาแล้วก็เอาให้ครบ ก็มีจอดรถแวะถ่ายรูปกับสถานที่กันเล็กน้อยก็ออกเดินทางกันต่อ โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ นครศรีธรรมราช ระหว่างการเดินทางก็มีแวะวัดเจดีย์ หรือวัดไอ้ไข่ ก็แวะทำบุญและไหว้ไอ้ไข่ ที่นี่เราก็เลยแวะซื้อประทัดพันนัดไปด้วย ก็ใช้เวลาอยู่ที่วัดก็นานพอสมควร เพราะวัดนี้มีอาณาบริเวณที่กว้างขวางเหลือเกิน 

เวลาสี่โมงเย็นก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครศรีธรรมราช ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึง เดินทางถึงนครศรีธรรมราชเวลาหกโมงเย็น โดยคืนนี้เราสองคนจะพักค้างคืนกันที่ โรงแรมแกรนด์ฟอร์จูนสองคืน

ครั้งนี้เราสองคนได้มีโอกาสเข้าพักกันที่นี่ เพราะจากที่เลือกหามาหลายโรงแรม สุดท้ายก็ต้องมาจบกันที่สถานที่แห่งนี้ ครั้งนี้เราสองคนได้พักห้องแบบคิงส์ไซส์ เป็นห้องขนาดใหญ่ ภายในห้องถูกออกแบบได้อย่างลงตัว แยกเป็นสัดเป็นส่วน ไม่ว่าจะเป็นเตียงนอนที่มีขนาดใหญ่ ที่สามารถนอนกลิ้งกันได้อย่างสบายๆ ที่ชอบที่สุดก็คือ หมอน ทางโรงแรมให้มาแบบเหลือๆ ที่นอนนั้นก็เนียนนุ่ม ให้ความรู้สึกสบายผิวเอามากๆ แถมผ้าห่มยังนุ่มแนบเนื้อดีเสียอีก นอนแล้วแทบไม่อยากจะลุกจากที่นอนกันเลยทีเดียวเชียว

กำลังมองหาที่พักที่ตอบโจทย์และได้มาตรฐานของคำว่าโรงแรม ที่นี่ Grand Fortune  Hotel @ นครศรีธรรมราช เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่อยากแนะนำ พิกัด Google Maps : Grand Fortune  Hotel @ นครศรีธรรมราช – https://goo.gl/maps/1q655awf8GNvj33m9

หลังจากรับประทานอาหารเช้ากันแล้ว เราสองคนก็ออกเดินทางไปไหว้พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก แหม! มานครฯ ไม่แวะวัดมหาธาตุได้ไง ไหนๆ ก็มาแล้วก็แวะไหว้เอาฤกษ์เอาชัยกันสักหน่อย เดินทางถึงที่วัดมหาธาตุเวลาก็เที่ยงๆ พอดี อากาศร้อน แดดเปรี้ยงเลย แต่ไม่เป็นไร ในใจของเราสองคนนั้นเย็นกันอยู่แล้ว 

ไหว้พระบรมสารีริกธาตุกันเสร็จก็เดินทางไปหาร้านกาแฟชิคๆ ขึ้นชื่อของที่นี่นั่งชิล์ๆ กันหน่อย ร้านที่ว่า ชื่อ ร้านโกปี๊ ซึ่งก็ถือว่าเป็นร้านที่เปิดมานาน มีชื่อของจังหวัดเลยก็ว่าได้ ร้านกาแฟตกแต่งสไตล์แบบย้อนยุค คลาสสิคดี

บรรยากาศโดยรวมดีเลยทีเดียว วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ถือว่าย้อนยุคแทบทั้งหมด มาร้านแบบนี้ผมก็ไม่พลาดที่จะสั่ง กาแฟร้อนโบราณ ส่วนอีกแก้วก็เป็น กาแฟเย็น เสิร์ฟคู่มากับโรตีราดนมข้น รสชาติดีเลยทีเดียว ใครมานครฯ แนะนำเลยว่าไม่ควรพลาดร้านนี้ มุมถ่ายรูปเพียบเหมือนกัน บอกเลย

ออกจากร้านโกปี๊เวลาบ่ายสอง จะรีบกลับที่พักก็กระไรอยู่ เราสองคนก็เลยขับรถไปเที่ยวกันต่อที่ อุทยานพระพุทธศาสนาอำเภอทุ่งใหญ่ ระยะทางจากร้านกาแฟก็ไกลพอสมาไปเที่ยว เราสองคนก็เลยไม่คิดนาน ที่ไหนได้พอไปถึงเท่านั้นแหละ “ปิด” จบข่าว 5555+

แต่เราก็ไม่ละความพยายาม เดินหาคนแถวนั้นแล้วก็ถามว่า เราสามารถเข้าไปถ่ายรูปภายในได้มั้ย? ก็พอดีมีคนงานที่ทำสวนอยู่ใกล้ๆ ก็บอกมาว่า เข้าไปถ่ายรูปได้ แต่เท่าที่ดูเราสองคนก็หวั่นๆ อยู่เหมือนกัน เราก็เลยคุยกันว่า งั้นเราบินโดรนถ่ายรูปเอาพอประมาณก็แล้วกันนะ

…สำหรับ อุทยานพระพุทธศาสนาภายในจะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่กลางลานกว้าง เรียงรายกันอย่างสวยงาม ซึ่งพระพุทธรูปบางองค์ก็ยังสร้างไม่เสร็จดี เพราะที่นี่เป็นสถานที่ที่กำลังก่อสร้างซึ่งยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดีนัก แต่ก็จะมีนักท่องเที่ยวแบบเราๆ นี่แหละที่แวะมาเที่ยวชมกัน

แหม! ถ้าคิดจะเที่ยวแล้ว เราสองคนไม่คิดนานนะ จะบอกกให้ สถานที่แห่งนี้ก็ถือว่าอีกหนึ่ง Unseen ของจังหวัดนครศรีธรรมราชเลยก็ว่าได้ อยู่สร้างภาพกันร่วมๆ ชั่วโมงก็ได้เวลาเดินทางกลับที่พัก ก็เป็นเวลาเกือบๆ หกโมงเย็นพอดี ก็นอนค้างคืนกันที่นครฯ กันอีกหนึ่งคืน รอเพียงฟ้าสางของวันใหม้จะได้ออกเดินทางไปยังทะเลยน้อย จ.พัทลุง เพื่อไปดู “ควายน้ำ” กัน

เวลาประมาณ 10 โมงกว่าๆ ก็พากันออกเดินทาง โดยมีจุดหมายปลายทางของวันนี้อยู่ที่ ทะเลน้อย จ.พัทลุง ระยะทางจากที่พัก ไปยังทะเลยน้อยก็ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ระหว่างการเดินทางก้แวะปั๊มเข้าห้อง เติมน้ำมันรถ และซื้อกาแฟ อันหลัง(กาแฟ) ขาดกันไม่ได้เลยจริงๆ สำหรับนักเดินทางอย่างเราๆ

เวลาเกือบๆ เที่ยงวันเราสองคนก็พากันเดินทางถึงสะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ฯ หรือ สะพานเอกชัย ซึ่งสะพานที่สร้างพาดผ่านทะเลน้อย สะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 สร้างขึ้นในปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550  สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีความยาวประมาณ 5.5 กิโลเมตร เป็นสะพานข้ามทะเลสาบที่ยาวที่สุดในประเทศไทย เริ่มจากทะเลน้อย อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ไปสู่อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา วันนี้แดดเปรี้ยงกันเลยทีเดียวเชียว แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเราสองคน เรื่องเที่ยวสร้างภาพขอให้บอก ถึงไหนถึงกัน 5555+

ทะเลน้อย ถือเป็นแลนด์มาร์คหรือสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดพัทลุง เพราะที่ทะเลน้อยมี ”ควายน้ำ” ซึ่งมีหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ให้ควายได้อาศัยพึ่งพาเลี่ยงชีวิต 

ในส่วนของชื่อ “สะพานเอกชัย” เนื่องจากนักร้องคนใต้ที่ชื่อ เอกชัย ศรีวิชัย ได้เล่นคอนเสิร์ทหาเงินสมทบเพื่อช่วยในการสร้าง สะพานแห่งนี้ชาวบ้านเลยเรียกชื่อติดปากว่า “สะพานเอกชัย” เพราะเรียกง่ายกว่า สะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา บนสะพานก็จะมีจุดจอดรถให้นักท่องเที่ยวได้แวะเพื่อถ่ายรูปและชมวิวอยู่หลายจุดด้วยกัน เราสามารถเลือกเอาว่าจะสะดวกตรงจุดไหน

สำหรับควายน้ำก็จะแยกออกเป็นกลุ่มๆ หรือเรียกว่า ฝูง ส่วนมากก็จะเป็นควายดำเสียมากกว่า จะมีควายเผือกปะปนอยู่บ้างแค่ตัวสองตัว จอกถเสร็จก็พากันเดินไปชมฝูงควาย ซึ่งก็เริ่มพากันทะยอยออกมากินหญ้ากัน พวกควายก็เดินกันไปเรื่อยๆ ตามจ่าฝูง 

ควายน้ำ ก็คือ ควายปกติธรรมดาๆ ทั่วไป ที่ใช้ชีวิตได้สองรูปแบบ ทั้งบนบก และในน้ำ ในช่วงเวลาน้ำขึ้นท่วมทุ่งหญ้าบริเวณทะเลสาบ ควายก็เลยปรับตัวเพื่อใช้ชีวิตให้อยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ โดยที่ความลึกของทะเลน้อยจะอยู่ที่ประมาณ 1-2 เมตรเท่านั้นเอง ควายจึงสามารถที่จะลงไปเดินในน้ำเพื่อหาอาหารกินได้อย่างสบายๆ 

ที่ทะเลยน้อย จะมีดอกบัวแดงสวยงามมาก ออกดอกบานสะพรั่งไปทั่วทั้งบริเวณ  ดอกบัวจะบานในช่วงเช้าๆ ของวัน ใครอยากถ่ายรูปสวยๆ ของดอกบัวก็แนะนำให้ไปช่วงเช้าๆ จะเป็นการดีที่สุด ทางที่ดีหาที่พักที่นี่เลยน่าจะสะดวกที่สุด

นอกจากดอกบัวแดงแล้ว ที่ทะเลยน้อยังมีนกหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพ มีไม่ต่ำกว่า 150 ชนิด หรือมีมากกว่า 287 ชนิด และมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 100,000 ก็มีนกที่หาดูได้ยาก อย่างเช่น นกอีโก้ง นกกาน้ำ นกยาง นกเป็ดผี นกเป็ดแดง นกนางแอ่น นกนางนวล นกเป็ดคับแค นกกระสา อีกา และเหยี่ยว เป็นต้น

ในช่วงระหว่างที่เราพากันเดินชมวิวและดูควายน้ำนั้น เราควรจะระมัดระวังรถที่วิ่งสวนกันไปมาบนสะพานด้วย เดี๋ยวมัวแต่เดินชมวิวและข้ามไปข้ามมา อาจะเกิดอุบัติเหตุกันได้ 

ในเรื่องของจุดชมวิวนั้น เราสามารถที่จะขับรถไปยังจุดอื่นได้เหมือนกัน เพื่อเลือกเอาจุดชมวิวที่สวยๆ เพื่อสร้างภาพ เพราะอย่างที่บอก บนสะพานมีจุดแวะให้เราจอดรถอยู่หลายจุด ก็เลือกเอาได้เลยว่าสะดวกจุดไหน

ในวันนี้ เราได้เห็นควายน้ำเยอะเลย จากทางด้านซ้ายของสะพาน เราจะมองเห็นควายน้ำอยู่เป็นกลุ่มๆ ซึ่งก็มีจำนวนมากน้อยแตกต่างกันออกไป พวกควายก็พาเดินกินหญ้ากันไปเรื่อยๆ ลงน้ำบ้าง อยู่บนสันดอนบ้าง พอมาถึงสะพานก็พากันเดินลอดเพื่อไปหากินหญ้าอีกฟากหนึ่ง เราสองคนก็พากันเดินตามพวกมันไปเพื่อที่จะได้ถ่ายรูปด้วย ก็ใช้เวลาอยู่กันบนสะพานก็ร่วมๆ ชั่วโมงเห็นจะได้ ไหนๆ ก็มาแล้วก็เอาเสียให้คุ้ม ว่ามั้ย?

สำหรับใครที่ต้องการล่องเรือเพื่อชมดอกบัวแดงและชมนก แนะนำให้มาพักกันที่บริเวณใกล้ๆ กับทะเลน้อยก็น่าจะเป็นการดี เพราะจะได้ใช้เวลาให้คุ้มกับเดินทางมาไกลๆ ได้ล่องเรือชมทั้งดอกบัวแดง ชมนกหลากหลายชนิดหลากหลายสายพันธุ์ และได้ดูควายน้ำ ซึ่งก็มีอยู่ที่เดียว ที่ ทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง ทริปนี้ก็ถือเป็นอันสิ้นสุดของการเดินทางกันที่นี่เลย

ขอขอบคุณ บริษัทมาสด้าเซลส์ (ประเทศไทยจำกัด ที่เอื้อเฟื้อรถยนต์ Mazda CX-30 สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวกันยาวๆ ในครั้งนี้

—————

พิกัด :

Airstream Campsite “รถบ้าน” ที่ให้ความรู้สึกแตกต่างและไม่เหมือนใคร

0

เดินทางท่องเที่ยวและเข้าพักที่โรงมาก็มากมายหลายแห่ง และหลายๆ สถานที่ ทั้งที่เป็นแบบธรรมดาและแบบหรูหราห้าดาว แต่ที่นี่ Airstream Campsite อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ต้องบอกว่าไม่เหมือนที่อื่นและไม่เหมือนใครจริงๆ เพราะที่นี่ เขานำเอารถบ้านมาทำเป็นห้องพัก ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นเขียวขจี

Airstream Campsite เพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่นานมากนัก แต่ก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่ต้องการพักผ่อนในรูปแบบที่แตกต่างและไม่เหมือนใคร ต้องย้ำนะครับว่า ไม่เหมือนใครจริงๆ และสำหรับเราสองคนก็ได้มีโอกาสเดินทางไปพักผ่อนกันที่นี่ เลยรู้สึกตื่นเต้นและคาดเดาไปต่างๆ นาๆ ว่า อืม! แล้วมันจะเลิศหรูหรือแปลกแตกต่างจากที่อื่นอย่างไรกันนะ

แบบแรกจะเป็นรถบ้านคันใหญ่ (Zone Colorado)

Airstream Campsite ตั้งอยู่ที่อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นสถานที่พักที่นำเอารถบ้านมาเปิดให้บริการ มีจำนวนทั้งหมด 10 คัน แบ่งออกเป็น 2 แบบด้วยกัน  โดยที่แบบแรกจะเป็นรถบ้านคันใหญ่ (Zone Colorado) มีทั้งหมด 4 คัน ตัวรถบ้านทั้งหมดเป็นอลูมิเนียม ตัดกับสีเขียวของต้นไม้อย่างชัดเจน ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของตัวอาคารที่เป็นส่วนของร้านอาหารและสระน้ำ โดยที่ด้านหลังจะเป็นสนามหญ้าติดกับสระน้ำขนาดพอประมาณ ริมสระน้ำทิศตะวันตกจะมีต้นตาลเรียงรายอยู่หลายต้น ในยามที่พระอาทิตย์ใกล้ๆ จะลับขอบฟ้า มองดูแล้วสวยงามเอมากๆ 

แบบที่สอง คือรถบ้านคันเล็ก (Zone Wyoming)

แบบที่สอง คือรถบ้านคันเล็ก (Zone Wyoming) จะมีขนาดเล็กกว่าแบบแรก มีทั้งหมด 6 คัน ตัวรถบ้านทั้งหมดก็จะเป็นอลูมิเนียมเหมือนกัน ตั้งอยู่ทางด้านขวามือติดกับบริเวณทางเข้า ซึ่งมีทางเดินที่สามารถจะเดินทะลุถึงกันได้ โดยที่แบบที่สองนี้ก็สามารถนอนกันได้ถึงสองคนแบบสบายๆ 

ทั้งสองแบบจะถูกออกแบบได้อย่างลงตัวและเป็นสัดส่วนเอามากๆ มีการแยกห้องนอน, ห้องนั่งเล่นที่เป็นโซฟา และห้องน้ำออกจากกันอย่างชัดเจน ด้านบนติดกับหลังคาจะทำเป็นที่เก็บของ มีสิ่งอำนวยความสะดวกเท่าที่จำเป็นแบบครบๆ อย่างเช่น แอร์, TV, Free Wifi, ตู้เย็น, อ่างล้างหน้า, สบู่เหลว, ยาสีฟัน,แปรงสีฟัน ,แชมพู, ผ้าเช็ดตัว,ผ้าเช็ดหน้า,ผ้าเช็ดมือ,ทิชชู, Minibar, น้ำดื่ม, น้ำอัดลม, น้ำผลไม้

และด้านนอกยังจัดให้มีชุดโต๊ะและเก้าอี้ Camping Snowline สำหรับ 2 ท่าน เอาไว้ย่างบาร์บีคิวและรับประทานอาหารที่ทาง Airstream Campsite ได้จัดเอาไว้เป็นพิเศษในคืนแรกที่เข้าพัก ย่างบาร์บีคิวไปก็จิบเบียร์บางๆ ไปด้วย ฟินจริงๆ บอกเลย

ในส่วนของแบบแรกนั้นค่อนข้างจะมีเนื้อที่กว้างขวางกว่ามาก ที่นอนมีขนาดที่ใหญ่และกว้าง สามารถนอนกันได้อย่างสบายๆ ห้องน้ำถูกแบ่งออกเป็นทั้งแบบแห้ง และแบบเปียก ไม่เหมือนกับแบบที่สองที่จะรวมกันอยู่ในห้องเดียวกัน เวลาอาบน้ำก็อาจจะไม่สะดวกเท่าแบบแรก ถ้าคนที่ไม่คุ้นเคยการพักแบบนี้ก็อาจจะอึดอัดและไม่ชอบเอามากๆ แนะนำให้เลือกพักในแบบแรกที่เป็นรถบ้านคันใหญ่ (Zone Colorado) จะดีกว่า

สำหรับที่นอนของที่นี่ ก็ต้องว่ามันนุ่มละมุนเอามากๆ เป็นที่นอนดูดวิญญาณจริงๆ มันนุ่มและแนบเนื้อเอามากๆ เวลาที่เราซุกตัวเข้าไปนอนใต้ผ้าห่มบนเตียงนอน มันให้ความรู้สึกผ่อนคลายได้ชนิดที่ว่าไม่อยากจะลุกจากที่นอนเลยจริงๆ อันนี้ก็ต้องม้าให้ลองไปสัมผัสด้วยตัวเอง 

นอกจากห้องพักแล้ว ลูกค้ายังจะได้สัมผัสบรรยากาศของการพักผ่อนที่แปลกและแตกต่างจากที่อื่น ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นและสวยงาม มีสระว่ายน้ำกลางแจ้ง มีสวนหย่อมที่ถูกตกแต่งและประดับประดาเอาไว้อย่างสวยงาม นอกจากนั้นยังมีบริการร้านอาหาร Airstream Cafe Bar & Restaurant ที่เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.30 น. ถึงเวลา 20.30 น. มีเสิร์ฟทั้งเครื่องดื่มรสชาติดีๆ พร้อมทั้งขนมคบคี้ยว รวมไปถึงของว่างอีกหลากหลายรายการ ท่ามกลางบรรยากาศที่ชิลล์ๆ และฟินๆ  ในยามค่ำคืน

Airstream Campsite ยังอยู่ใกล้ๆ กับชายหาดและแหล่งท่องเที่ยวมากมายอย่างเช่น วนอุทยานท้าวโกษา, เขากะโหลก, สวนสนประดิพัทธ์ หรือสวนน้ำวานานาวา ลูกค้าสามารถที่จะเดินทางไปเที่ยวยังสถานที่เหล่านี้ได้อย่างสะดวกและง่ายดาย

ตลอดช่วงที่พักอยู่ที่ Airstream Campsite ในช่วงเวลากลางวัน ดอกหญ้าสีขาวที่โอ่อ่อนพลิ้วไหวไปตามสายลม มันเชื้อเชิญให้เราสองคนอดไม่ได้ที่จะต้องบันทึกภาพเลยจริงๆ กล้องที่จัดเตรียมมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะถูกนำออกมาจากกระเป๋ากล้อง เป็นกล้องมิเดี้ยมฟอร์แมทที่ใช้ฟิล์มของฟูจิ เป็นฟิล์มที่เมื่อถ่ายแล้วก็สามารถที่จะดูภาพได้เลย ถือว่าสะดวกเอามากๆ แต่ถ้าเอาชัวร์ๆ ก็นี่เลย การถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟน 5555+ ให้ภาพได้รวดเร็วเหมือนกัน แถมยังสามารถอัปโหลดขึ้นโลกโซเชี่ยลได้อย่างรวดเร็วและทันใจอีกด้วย อันนี้ชอบเลย

Airstream Campsite ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ก็ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ​มากนัก ระยะทางประมาณ 250 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณสามชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึง แล้วเราจะพบกับการพักผ่อนที่แตกต่างและไม่เหมือนใครในแระเทศไทย ย้ำนะครับว่าไม่เหมือนใครจริงๆ กับที่พักที่เป็นรถบ้านอย่าง Airstream Campsite” ลองไปสัมผัสสักครั้งแล้วจะรู้ว่า ผู้เขียนเองไม่ได้พูดเกินเลยจากที่ได้มาสัมผัสเลยจริงๆ

สอบถามรายละเอียดเพื่อติดต่อขอจองห้องพักได้ที่ Airstream Campsite เบอร์โทร 098 169 8393 หรือเฟสบุ้ค https://www.facebook.com/airstreamcampsitepranburi/

“โอเอซีสบ้านแสนดอย @ เชียงใหม่” สัมผัสบรรยากาศของการพักผ่อนในรูปแบบล้านนา

0

กลับมาอีกครั้งหลังจากห่างหายไปชั่วระยะหนึ่งกับการรีวิวที่พัก ครั้งนี้ก็จะพาไปสัมผัสกับบรรยากาศของการพักผ่อนแบบล้านนา เอ่ยคำว่าล้านนาก็คงจะเดากันออกว่าต้องเป็นทางภาคเหนือแน่ๆ ถูกต้องแล้วครับ โรงแรมที่จะเขียนถึงนี้อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพราะที่นี่นอกจากจะเป็นสถานที่พักแล้ว  ภายในที่พักยังมีสปาเอาไว้คอยบริการในยามที่ลูกต้องการการผ่อนคลายอีกด้วย

เดินผ่านสะพานไม้ขนาดพอเดินสวนกันได้เพื่อเข้าไปสู่ยังด้านใน ด้านซ้ายขวามีดอกบัวชูช่อและใบสีเขียวพาลให้สดชื่น เสียงพนักงานกล้าวทักทายสวัสดีด้วยท่าทีอ่อนนุ่มแบบชาวเหนือ ทำการเช็คอินเสร็จพนักงานก็เดินนำหน้าพาเราตรงไปยังห้องที่จะพักในค่ำคืนนี้

บรรยากาศรายล้อมไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเอง ที่พักทั้งหลังจะทำด้วยไม้สักโทนสีออกน้ำตาลออกส้มๆ ของตกแต่งมีทั้งผ้าทอ แบบล้านนาและภาพเขียนที่ถูกแขวนอยู่บนผนัง สร้างความรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังเดินเข้าไปชมงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ยังงไงยังงั้น รู้สึกว่าเราหลงรักสถานที่แห่งนี้เข้าแล้วสิ 

ในค่ำคืนนี้เราสองคนได้นอนพักกันที่ห้องลักชัวรี่ สวีท (Luxury Suites) ซึ่งจะมีอยู่เพียงแค่ 2 ห้องเท่านั้น เมื่อเดินเข้าไปในห้องก็ถึงกับประทับใจกับสิ่งที่เห็นซึ่งวางอยู่บนเตียงนอน เป็นการ์ดที่มีข้อความต้อนรับแขกผู้มาเยือน ข้างๆ กันมีกุญแจห้องและดอกไม้สีชมพูวางอยู่ สร้างความประทับใจในามที่เห็นและได้รับรู้ถึงขอความ สุดๆ บอกเลย

ห้องลักชัวรี่ สวีท (Luxury Suites) มีขนาดใหญ่กว้งาขวางเอามากๆ โดยแยกพื้นที่ใช้อยออกเป็นสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องน้จากุซซี่และฝักบัวอาบน้ำ มีห้องวางกระเป๋าเดินทาง ห้องแต่งตัว ห้องบันเทิง โอ้ย! ครบครันจริงๆ นอกจากนั้นก็ยังมีทั้งไดร์เป่าผม เคเบิ้ลทีวี มินิบาร์ อินเทอร์เน็ตไร้สาย ระบบเครื่องเสียง รวมไปถึงอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับ iPad, iPhone และ iPod อีกด้วย ก่อนจะทำการอาบน้ำ คืน้เราสองคนเลยเดินสำรวจภายในห้องไปพร้อมๆ กับการถ่ายรูปสร้างภาพกันเพลินไปเลย 5555+

นอกจากห้องลักชัวรี่สวีทที่เราสองคนได้พักแล้ว ที่นี่ยังมีห้องอีกหลายรูปแบบให้ลูกค้าได้เลือกอย่างเช่น ห้องดีลักซ์, ห้องคอร์เนอร์ สวีท, ห้องเดอะแกรนด์ สวีท และห้องพรสซิเดนเทียล เรสซิเดนท์ ซึ่งในแต่ละห้องการออกแบบตกแต่งก็จะแตกต่างกันออกไป 

สำหรับลูกค้าที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หรือต้องการที่จะนวดผ่อนคลาย ที่นี่ยังมีสปาขนาดใหญ่ภายใต้ชื่อ “โอเอซีส สปา” เอาไว้คอยบริการอีกด้วย ซึ่งเราสองคนก็ได้ไปสัมผัสกันมาแล้ว มันสุดยอดจริงๆ บอกเลย 

โอเอซีส บ้านแสนดอย สปา รีสอร์ท ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านในฝัน 2 ใช้เวลาเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่เพียงแค่ 10 นาที่ และใช้เวลาเพียงแค่ 20 นาทีจากตัวเมืองเชียงใหม่ ใกล้ๆ หาไม่ยาก การเดินทางสะดวกสบาย

หรือจะปักหมุดเดินทางด้วย Google Maps ก็สามารถทำได้ ที่นี่ยังอยู่ใกล้กับสถานที่จัดงานมหกรรมพืชสวนโลก (Royal Flora Ratchapruek), เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี, ชุมชนบ้านถวาย, ห้างสรรพสินค้าโรบินสันสาขาสนามบิน, ดอยสุเทพ และดอยอินทนนท์

สนใจติดต่อขอจองห้องพักและนวดสปาได้ที่เบอร์โทร 053 920 111 หรือเว็บไซต์ http://oasis-baan-saen-doi-spa.chillholiday.com

อี ก ค รั้ ง กั บ ที่ พั ก ดี ๆ ที่ . . .The Marndadee Heritage เชียงใหม่

0

เดินทางถึงที่เดอะมารดาดีในช่วงกลางคืน การเดินทางถือว่าสะดวกและง่ายดาย เพียงแค่ปักหมุดไปที่มารดาดีด้วย Google Maps เท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้การบอกเส้นทางก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเขียนเป็นตัวหนังสือ  เพียงแค่มีแอ็ป Google Maps แล้วพิมพ์ชื่อสถานที่ที่เราจะไป เราก็สามารถเดินทางไปยังจุดหมายได้อย่าง่ายดาย ถือเป็นแอ็ปที่สะดวกและมีคนใช้งานเป็นจำนวนมากอีกด้วย

การกลับไปเยี่ยมเยือนที่พักดีๆ อย่างมารดาดีในครั้งนี้ เราสองคนรู้สึกเลยว่าที่นี่มีการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง แต่ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเองทั้งจากพนักงานต้อนรับยังคงเหมือนเช่นเคย คืนนั้นเราสองคนได้พักที่ห้องในแบบยุ่งข้าวที่ได้สร้างขึ้นในช่วงแรกๆ ขนาดของห้องไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กจนเกินไป เตียงนอนเป็นแบบซิงเกิ้ล(เตียงเดี่ยว) ถูกปูด้วยผ้าปูที่ขาวสะอาด 

ภายในห้องมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้ครบเท่าที่จำเป็น ห้องน้ำจะอยู่ด้านหลังทางซ้ายมือ โดยการแยกห้องอาบน้ำ อ่างอาบน้ำ และห้องชักโครกออกจากกัน แสงไฟที่อยู่ภายในห้องน้ำทำให้เรามองเห็นงานศิลปะที่เป็นภาพวาดได้อย่างชัดเจน มันช่วยสร้างอารมณ์ร่วมให้เข้ากับเนื้องานได้ดีจริงๆ ยิ่งเราเป็นพวกที่ชอบเสพศิลปะด้วยแล้ว ก็ต้องบอกว่าที่นี่ “มันใช่เลย” ค่ำคืนนั้นเราสองคนก็เลยนอนพักผ่อนไปพร้อมๆ กับชื่นชมงานศิลปะที่ถูกประดับเอาไว้ภายในห้องไปด้วยเลย

วันรุ่งขึ้นหลังจากตื่นนอนกันแล้ว เดินลงจากบันไดเพื่อไปรับประทานอาหารเช้ากัน รอบๆ บริเวณที่พักจะเจอกับต้นข้าวที่เพิ่งปลูกได้ไม่นาน ชูช่อและใบสีเขียวเอนอ่อนตามลมพริ้วไสวไปทั่ว ได้ยินเสียงน้ำไหลจากกระบอกไม้ไผ่ที่ทำเอาไว้ทดน้ำดังระรื่นหูเพราะดี แสงแดดสาดส่องไปทั่วทั้งบริเวณ ไอแดดอุ่นๆ ทาบทาทั่วทั่งผิวกาย เราสองคนเดินไปตามทางเดินที่อยู่ทางด้านซ้าย มุ่งหน้าไปยังห้องอาหารที่อยู่บริเวณด้านหน้าของที่พัก

เมนูอาหารในครั้งนี้ ทางมารดาดีมีการเปลี่ยนแปลงเมนูหลายรายการ แต่เมนูอาหารหลักๆ ก็ยังคงมีไว้อยู่ อย่างมื้อนี้เราสองคนได้รับประทานอาหารใหม่ๆ ที่ทางมารดาดีจัดขึ้นมา ก็มีเมนู Crab-Cake Eggs Benedict เสิร์ฟมาคู่กับ Breakfast Bruschetta with Pesro, Cheese and Roasted Cheery Tomatoes และเมนูที่สองก็คือ Smokr-Salmon Avocado Toast with Poached Egg ก็ถือเป็นตัวเลือกให้กับทางลูกค้าได้เลือกรับประทาน ในเรื่องของรสชาติก็แล้วแต่คนชอบ แต่ในเรื่องของหน้าตา ก็ต้องบอกว่าสวยงามจนต้องหยิบเอาสมาร์ทโฟนยกขึ้นมาบันทึกภาพกันเลยทีเดียว 

รับประทานอาหารกันอิ่มแล้วก็ได้เวลาไปเดินสำรวจในส่วนอื่นๆ ที่ทางมารดารดีได้ทำการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นห้องจัดแสดงงานศิลปะหรือมิวเซี่ยม สถานที่แห่งนี้ นอกจากลูกค้าจะได้เข้ามาพักผ่อนเพื่อเสพบรรยากาศของธรรมชาติแล้ว ที่นี่ยังมีงานศิลปะให้ลูกค้าได้ชื่นชมและเสพความงดงามของงานศิลปะไปในตัว และตอนนี้ทางคุณอู่เจ้าของ ซึ่งเป็นผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะเป็นทุนเดิม ก็เลยทำห้องขึ้นมาเพื่อจัดแสดงงานศิลปะโดยเฉพาะ สถานที่แห่งนี้เราสองคนเลยชื่นชอบกันเป็นพิเศษ

นอกจากห้องจัดแสดงงานศิลปะหรือมิวเซี่ยมแล้ว ที่มารดาดียังมีห้องสปาเอาไว้คอยบริการให้กับลูกค้าที่มาพักอีกด้วย ภายในห้องสปาถูกตกแต่งอย่างสวยงามและคลาสสิค มีงานศิลปะที่เป็นภาพเขียนประดับประดาอยู่บนผนัง โทนสีอุ่นๆ สลัวๆ พร้อมกับการให้สีของห้อง มันช่วยเสริมสร้างอารามณ์ผ่อนคลายในยามที่เราเข้าไปใช้บริการได้อย่างดีจริงๆ 

เดินชมห้องต่างๆ ที่ทางมารดาดีได้จัดทำขึ้นมาใหม่จนเริ่มเกิดอาการเหนื่อยล้า การที่จะไปนั่งพักผ่อนและดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ ก็คงจะทำให้ชื่นใจอยู่ไม่น้อย ที่มารดาดียังมีมุมเก๋ๆ ริมสระน้ำที่อยู่บริเวณชั้นสองให้เราได้สั่งเครื่องดื่มรสชาติดีๆ มาดื่มดับกระหายไปพร้อมๆ กับเดินชมงานศิลปะ หรือนั่งอ่านหนังสือไปเพลินๆ ในบริเวณที่อยู่ทางด้านใน เราสองคนก็เลยจัดการสั่งเครื่องดื่มที่เราชื่นชอบอย่าง Kiwi Mint Punch (กีวี, น้ำมะนาว และใบสะระแหน่ เอามาปั่นรวมกัน) และอีกหนึ่งเมนูคือ Morning Sunrise-Ginger (ขิง, น้ำมะนาว, ส้ม และแครอท) ในยามที่อากาศร้อนๆ ได้ดื่มเครื่องดื่มรสชาติชื่นใจแบบนี้ ก็ทำให้เราได้สดชื่นได้เหมือนกัน

และนี่ก็ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมเข้ามา เพื่อเป็นการตอบโจทย์ในด้านการบริการให้กับลูกค้าที่เข้ามาพัก ให้ได้ใช้ประโยชน์ในทุกๆ ส่วน ในทุกๆ ด้านอย่างเต็มรูปแบบ ในยามที่ต้องการการพักผ่อนจริงๆ และที่นี่ “เดอะ มารดาดี เฮอริเทจ เชียงใหม่” จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เราอยากจะแนะนำ

สนใจก็ติดต่อขอจองห้องพักกันได้ที่เบอร์โทร 053 103 703 หรือเว็บไซต์ https://www.themarndadee.com/

ค รั้ ง ห นึ่ ง ที่ เ ค ย ไ ป พั ก…Patong Bay Hill @ Phuket

0

ป่าตอง จ.เก็ต เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ผู้คนต่างก็รู้จัก ยิ่งเป็นชาวต่างชาตินี่ยั่งขึ้นชื่อเลย และเดี๋ยวนี้จะสังเกตุเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เป็นคนจีน ได้เดินทางมาเที่ยวที่และพักกันที่ป่าตองกันเป็นจำไม่น้อยเลยทีเดียว และที่นี่ Patong Bay Hill Phuket ก็เช่นกัน นักท่องเที่ยวชาวจีนดูจะมีจำนวมากกว่าชาวต่างชาติจากทางฝั่งยุโรปเสียมากกว่า

และนี่ก็เป็นอีกครั้งสำหรับเราที่จะต้องเดินทางมาเพื่อทำการรีวิวสถานที่พักอย่าง Patong Bay Hill Phuket เพราะอะไรถึงเลือกรีวิวที่ป่าตอง ก็เพราะว่าที่ป่าตองถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวของประเทศไทยที่ชาวต่างชาติรู้จักนั่นเอง

Patong Bay Hill ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา มันจึงเป็นสถานที่ที่เราสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างชัดเจน มองเห็นหาดป่าตองได้อย่างง่ายดาย และอีกอย่าง  โรงแรมแห่งการเดินทางก็สะดวกสะบาย เพียงแต่ว่าถ้าต้องการออกกำลังกายก็อาจจะเหนื่อยสักหน่อย เพราะว่าโรงแรมอยู่บนเนินเขา แต่ก็สังเกตุเห็นนักท่องเที่ยวชาวจีนและฝรั่งก็ชอบที่จะเดินออกกำลังกายกัน ประหนึ่งเหมือนว่าเป็นเรื่องปกติอะไรปะมาณนั้น

Patong By Hill เป็นโครงการที่พักขนาดใหญ่โตมาก ที่พักมีอยู่ด้วยกันหลายแบบด้วยกันทีเดียว ในที่นี้จะขอกล่าวเพียงที่พักสำหรับการมาพักผ่อนเท่านั้นเอง 

ขับรถผ่านประตูทางเข้าด้านหน้าที่มีป้ายขนาดใหญ่เข้าไปด้านใน นำรถเข้าไปจอดยังบริเวณที่ทางโรงแรมัดให้ หลังจากนั้นก็พากันเดินขนกระเป๋าสัมภาระเข้าไปด้านในล็อบบี้เพื่อทำการเช็คอิน เสร็จแล้วทางโรงแรมก็จะให้พนักงานขับรถโพถ้องพาพวกเราเดินทางขึ้นไปสู่ยังห้องพักที่อยู่บนเนิน ใช้เวลาไม่นานมากนักถึง 

จากบริเวณที่รถโพถ้องจอดส่งพวกเรา การเดินไปยังห้องพักก็จะต้องขึ้นบันไดแล้วไปต่อยังลิฟท์อีกครั้ง อืม! มันงงๆ ยังไงชอบกลในวันแรกๆ งงยังไงเดี๋ยวถ้าใครได้ไปพักก็จะรูเอง 5555+

ตัวอาคารที่พักสร้างได้แข็งแรงมาก ดูแล้วเป็นธรรมชาติ ผสมผสานกับการตกแต่งด้วยหินเป็นก้อนๆ ที่กำแพง ระหว่างทางเดินก็มีการปลูกต้นไม้ที่มีออกดอกสีม่วงๆ สดชื่อและงามตามจริงๆ ขอบอก อ๋อ! ลืมบอกไปว่าเราได้พักอยู่ที่อาคาร O บอกก่อนนะครับว่าเราจะต้องจำอาคารที่เราพักให้ได้ เพราะเวลาให้รถไปรับไปส่งเราก็ต้องคนขับรถด้วยว่าเราอยู่อาคารไหน น่านปะไร

การเดินลากกระเป๋าขึ้นไปยังห้องพักก็เล่นเอาเหงื่อซึมกายไปเหมือนกัน ถึงห้องก็เปิดประตูเข้าไปยังบริเวณด้านใน เฮ้ย! มีครัวให้เราทำกับข้าวและอุ่นอาหารด้วย เอ! แล้วเราจะมีเวลาทำอาหารกินกันมั้ย? ตอบ ไม่ใช่หรอก เขามีเอาไว้สำหรับให้เราอุ่นอาหาร หรือทำกับข้าวแบบเบาๆ ที่ไม่ซับซ้อน

ผ่านห้องครัวเข้าไปก็จะเจอกับหัวเตียง มีที่ให้เราได้นั่งทำงานได้ด้วย อันนี้ชอบมากๆ ทางด้านขวามือจากหัวเตียงก็จะมีห้องน้ำขนาดใหญ่ อันนี้ถือว่าทำออกมาดีตอบโจทย์ มีตู้เสื้อผ้า มีที่วางกระเป๋า มีอ่างล้างหน้าสองด้าน ชอบเลยแบบนี้ เวลาล้างหน้าและแต่งตัวก็จะได้ไม่ต้องแย่งกัน ตอบโจทย์ดีมาก ส่วนด้านในสุดก็จะแยกเป็นห้องอาบน้ำและห้องที่เป็นชักโครก โทนสีห้องน้ำก็จะเป็นสีเหลืองแบบอบอุ่น มีฉลุลวดลายคล้ายๆ ดอกไม้อยู่ตรงกลางด้านในเพื่อให้ดูมีเรื่องราว

จากห้องน้ำก็เดินย้อนกลับออกมาทางหัวเตียง เตียงนอนของห้องนี้จะมีขนาดใหญ่ น่าจะประมาณแปดฟุตได้ นอนกันสองคนโดยที่ไม่ต้องเบียดเสียดกัน ก็ประมาณว่านอนกลิ้งกันให้เต็มที่เลยว่างั้น เตียงนอนถูกปูด้วยผ้าสีขาว ตัดกับสีเขียวอมฟ้าน้ำทะเลที่เป็นผ้าที่ใช้สำหรับปูพาดผ่านที่นอน รวมไปถึงหมอนก็ใชโทนสีเดียวกัน โทนสีโดยรวมก็จะออกแนวหวานๆ ดี 

ทางด้านปลายเตียงฝั่งซ้ายก็จะมีทีวีจอแบนตั้งอยู่ ส่วนเก้าอี้โซฟาสำหรับนั่งดูทีวีก็จะทางฝั่งด้านขวามือ ถัดเลยไปทางด้านนอกจะเป็นสระน้ำขนาดพอประมาณ มีเก้าอี้โซฟาที่ทำด้วยหวายขัดสานสีน้ำตาลวางอยู่สองตัว โดยมีโต๊ะเล็กๆ ตรงกลางเอาไว้วางแก้วกาแฟหรือแก้วเครื่องดื่มเย็นๆ ในยามที่เราต้องการเอนกายพักผ่อน

น้ำในสระสีเขียวน้ำทะเลมันเชิญชวนให้พวกเราอยากกระโจนลงไปดำผุดดำว่ายเสียเหลือเกิน แต่ตอนนี้ยังไม่ดีกว่า รอตอนค่ำๆ หลังพระอาทิตย์ตกดินค่อยนั่งจิบไวน์แดงคลอเคล้ากับบรรยากาศในยามเย็ฯเพลินๆ ฟินๆ กันไป

สถานที่พักที่อยู่บนเนินเขา การเดินทางก็จะต้องให้ทางโรงแรมจัดรถไปรับไปส่งถึงอาคารที่พัก จึงเป็นการไม่สะดวกสำหรับการเดินทางขึ้นๆ ลงๆ เพื่อไปยังด้านล่าง ดังนั้นทางโรงแรมจึงมีบริการอาหารเช้ากันถึงห้องพัก ด้วยการจัดเป็นชุดปิ่นโตไปเสิร์ฟกันถึงห้องพักกันเลยทีเดียว อืม! ปินโตด้วย ดูๆ ก็คลาสสิคดีเหมือนกันนะ

เคยกล่าวเอาไว้ในตอนข้างต้นแล้วว่า ที่ Patong Bay Hill เป็นโครงการที่พักที่มีขนาดใหญ่ ในขณะที่เรามาพักก็จะสังเกตุเห็นว่า หลายๆ ส่วน หลายๆ โครงการกำลังเร่งก่อสร้างอยู่ นี่ถ้าสร้างเสร็จทั้งโครงการ ที่นี่ก็จัดได้ว่าเป็นที่พักที่มีขนาดใหญ่ที่ขึ้นชื่อของป่าตองแน่ๆ เดี๋ยวเราค่อยกลับมาอัพเดทกันอีกครั้งก็แล้วกัน

สำหรับที่ Patong Bay Hill ก็จะอยู่ใกล้กับหาดป่าตองเอามากๆ ลูกค้าสามารถที่จะเดินทางไปเดินเล่นที่ชายหาดหรือถ้าต้องการไปเดินช้อปปิ้งที่ห้างจางซีลอนก็สามารถทำได้ ที่นี่ก็ถือได้ว่าอยู่ในย่านที่นักท่องเที่ยวต้องการเดินทางมาเที่ยว และเป็นที่รูจักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจริงๆ

สนใจติดต่อขอจองห้องพักได้ที่เบอร์โทร 076 683 060 หรือเว็บไซต์ http://www.patongbayhill.com/

“ระพีพรรณวิลล์” อีกหนึ่งที่พักใจกลางเมืองอุบลที่อยากแนะนำ

0

เราสองคนได้มีโอกาสไปเที่ยวจังหวัดอุบลราชธานีอีกครั้งหนึ่ง ก็ด้วยคำเชื้อเชิญจากพี่สมศักดิ์ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมระพีพรรณ วิลล์ เพราะเหตุผลที่พี่แกอยากให้ช่วยไปถ่ายรูปโรงแรใสำหรับการอัพเดท เราสองคนก็มานั่งคิดและไตร่ตรองกันว่า อืม! โรงแรมพี่แกก็เปิดมาหลายปีแล้วนะ ถ้าเราจะรีวิวในเว็บไซต์ฯ มันจะไหวหรือเปล่า? มันคงจะเก่าและโทรมเป็นแน่แท้ทีเดียวเชียว

ครั้งแรกที่เห็นด้านหน้าของโรงแรม ความรู้สึกมันเหมือนกับว่าโรงแรมนี้เพิ่งเปิดใหม่ๆ รูปทรงที่สูงตระหง่านโดดเด่นสวยงาม มีกำแพงที่ติดป้ายชื่อโรงแรมอยู่ด้านขวามือ ตรงกลางมีบันไดสำหรับเดินขึ้นเข้าไปภายในโรงแรม เพียงไม่กี่อึดใจก็มีเสียงทักทายสวัสดีจากพี่สมศักดิ์ด้วยความเป็นกันเอง เราสามคนสวัสดีทักทายถามสารทุกข์สุกดิบกันได้ไมานานก็พากันเดินเข้าไปด้านใน

ก่อนที่จะขึ้นไปยังด้านบนก็ต้องเดินผ่านห้องต่างๆ พอก้าวพ้นจากบันไดทางเข้าโรงแรม  ทางด้านซ้ายจะมีบ่อน้ำขนาดเล็กที่ปลูกดอกบัวหลายสี ส่วนทางด้านขวามือจะมีทางเดินไปสู่ลานจอดรถ พอก้าวขึ้นบันไดช่วงที่สองระหว่างตรงกลาง ทางฝั่งซ้ายมือจะเป็นห้องสำหรับทำการเช็คอิน ส่วนทางด้านขวาเมื่อผลักประตูเข้าไป ที่ตรงนี้จะเป็นห้องอาหาร

ดื่มน้ำต้อนรับขับสู้พร้อมกับรับกุญแจห้องเรียบร้อย พี่สมศักดิ์ก็พาเราสองคนเดินขึ้นไปยังชั้นบนที่เป็นห้อง Grand Premier การเดินผ่านเข้าออกประตู ที่นี่จะมีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดีเยี่ยม ผู้ที่เข้าพักจะต้องใช้คีย์กา์ดแตะเพื่อทำการเปิดเข้าไปด้านใน

…พี่สมศักดิ์พาพวกเราเดินขึ้นบันไดขึ้นไปยังชันบนที่เราจะเข้าพัก มองดูรอบๆ บริเวณและพื้นห้องทางเดิน เฮ้ย! ทำไมมันใหม่สะอาดสะอ้านจังเลย ไม่เก่าเหมือนกับที่เราสองคนได้คิดไว้ ที่นี่ดูแลรักษาโรงแรมได้ดีมากๆ โรงแรมยังคงสภาพใหม่อยู่เหมือนเมื่อหลายปีที่แล้ว สุดยอดมากๆ 

พื้นและผนัง โทนสีรวมๆ จะออกไปในทางสีครีม ดูแล้วสะอาดสะอ้านดี ราวบันไดเป็นสแตนเลสผสมไม้จริง ตรงมุมห้องก็จะมีแจกันดอกไม้วางตกแต่งประดับประดาเอาไว้ เราหิ้วกระเป๋ษเดินทางขึ้นยังห้อง Grand Premier ที่อยู่ยังชั้นบนสุด

พี่สมศักศักดิ์เปิดประตูห้องให้พร้อมกับพาเราสองคนเดินเข้าไปยังด้านใน ห้องใหญ่โตเอามากๆ พื้นไม้ปูด้วยไม้ปาเก้สีโอ๊คเข้มเคลือบเงา ตู้เสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์ทำด้วยด้วยไม้ทั้งหมดเช่นกัน ภายในห้องจะถูกออกแบบให้เป็นสัดเป็นส่วนอย่างลงตัว ทางฝั่งซ้ายมือจะแยกเป็นส่วนของตู้เสื้อผ้า ห้องแต่งตัว และห้องน้ำ ส่วนด้านขวามือจะเป็นในส่วนของห้องนอนขนาดใหญ่ มีทีวีจอแบนและโซฟาทางด้านขวามือ ที่ผนังจะปูด้วยหินสีโอ๊คเต็มผนัง ดูแล้วคลาสสิคดีมากๆ  

พี่สมศักดิ์อยู่แนะนำรายละเอียดของห้องได้ไม่นานก็ขอตัวเดินลงไปทำงานต่อ ยังคงปล่อยให้เราสองคนยืนชื่นชมห้องนอนพร้อมกับถ่ายรูปเช็คอินกันอย่างเพลิดเพลิน ห้องนี้เตียงนอนจะใหญ่มากๆ ขนาดน่าจะประมาณแปดฟุตได้ นอนกลิ้งกันได้อย่างสบายเลย ด้านบนเพดานจะทำเป็นฝ้าดร็อปเป็นหลุม มีไฟส่องสร้างบรรยากาศอยู่รอบๆ ผนังด้านหัวเตียงถูกปูด้วยวอลล์เปเปอร์เป็นลวดลายคลุมโทนให้กลมกลืน ทางด้านซ้ายจะมีประตูกระจกบานเลื่อนเพื่อเดินออกไปยืนเสพบรรยากาศในยามที่ต้องการ ด้านปลายเตียงผนังด้านที่ติดกับห้องน้ำ ทีวีจอแบน ชุดกาแฟ และโต๊ะทำงานตั้งอยู่ ภายในห้องถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบและลงตัว

เดินย้อนกลับไปยังอีกด้าน ในส่วนนี้จะมีที่วางกระเป๋าเดินทาง ตู้เสื้อผ้า ตู้เซฟ โต๊ะเครื่องแป้ง ด้านขวามือก็จะเป็นห้องน้ำขนาดพอประมาณที่มีการติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นเอาไว้ ห้องน้ำด้านที่ติดกับโต๊ะเครื่องแป้งจะทำเป็นหน้าต่างบานคู่ มีเอาไว้ให้เปิดหรือปิดในยามที่เราต้องการ อืม! อลังการงานสร้างและสะอาดเอี่ยมจริงๆ ผิดคาดจากที่เราสองคนคาดไว้จริงๆ 

นอกจากห้องพัก Grand Premier แล้ว ที่นี่ยังมีห้องพักอีกสองแบบก็คือ ห้องดีลักซ์เตียงเดี่ยว และดีลักซ์เตียงคู่ โดยแต่ละห้องก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมาให้อย่างครบครัน ในแต่ละห้องก็จะออกแบบแตกต่างกันออกไป โดยแต่ทุกห้องจะถูกตกแต่งและทำความสะอาดเอาไว้เพื่อการต้อนรับแขกที่มาเยือน

โรงแรมระพรรณวิลล์ตั้งอยู่บนทำเลสะดวกใจกลางเมืองอุบลราชธานี ที่พักจะห่างจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่าไม่มากนัก เพียงแค่ขับรถข้ามสะพานไปหน่อยเดียวก็ถึง ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้นเอง และที่สำคัญ โรงแรมนี้จะอยู่ไม่ไกลจากสนามบินนานาชาติอุบลราชธานีมากนัก ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ 15 นาที สะดวกสบายเอามากๆ ขอบอก

นอกจากที่พักแล้ว ที่นี่ยังมีบริการอาหารไทยที่ต้องบอกว่ารสชาตินั้นอร่อยมากๆ อันนี้ผู้เขียนได้ลองชิมแล้วทุกเมนู ก็ในฐานะที่เป็นช่างภาพนี่ครับ ถ่ายเสร็จก็เลยรับประทานกันเสียด้วยเลย 5555+ 

เมืองอุบลราชธานี ถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น สามพันโบก แก่งชมดาว วัดเรืองแสง น้ำตกแสงจันทร์ ผาแต้ม วัดพระธาตุหนองบัว วัดหนองป่าพง เสาเฉลียง แก่งตะนะ และอีกมากมายจนบอกไม่หมด ก็ไปเที่ยวกันเอาเองนะครับ สำหรับเราสองคนก็ไปได้ไม่กี่แห่งเอง ก็มีสามพันโบก แก่งชมดาว วัดเรืองแสง วัดพระธาตุหนองบัว วัดหนองป่าพง ส่วนที่เหลือก็คงต้องไปเที่ยวตามเก็บเป็นครั้งต่อไป

สนใจติดต่อขอจองห้องพักได้ที่เบอร์โทร. 045 312 841 หรือเข้าไปดูรายละเอียดและรูปภาพประกอบกันได้ที่เว็บไซต์ https://rapeepanvill.com/ แล้วจะรู้ว่าที่ผมเล่ามามันไม่ได้เกินเลยจริงๆ 

“Saturdays Residence @ Phuket” อีกหนึ่งที่พักแบบดีๆ ที่อยากให้ได้ลอง

0

เดินทางไปทองเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ตในช่วงที่ผ่านมา ส่วนมากพวกเราก็จะไปเข้าพักกันที่โรงแรมเสียส่วนใหญ่ เพราะบรรยากาศของโรงแรมมันได้ให้อะไรที่แตกต่างจากบ้านของเราอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบตกแต่งด้วยรูปแบบที่ทันสมัยและแตกต่างกันออกไป หรือบรรยากาศที่รายล้อมรอบตัวเรา การบริการที่ยอดเยี่ยมจากทางโรงแรม รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ อีกมากมาย ที่ทำให้เราได้เสพสุขไปกับสิ่งเหล่านี้อย่างอิ่มเอมและสุขใจ และที่นี่ Saturday Residence Phuket ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่อยากให้ลองไปสัมผัสกันดูสักครั้ง

จากตัวเมืองภูเก็ตไปยัง Saturday Residence ระยะทางเกือบๆ 20 กิโลเตรเท่านั้นเอง โดยขับไปตามดส้นทางหมายเลข 4021 ไปทางหาดราไวย์ หรือเราสามารถที่จะเลือกเดินทางไปตามถนนหมายเลข 4024 ไปทางวัดไชยธารารามก็ได้เหมือนกัน

พวกเราเดินทางไปถึงที่นี่เวลาประมาณช่วงบ่ายๆ ของวัน มองเห็นตัวโรงแรมเป็นสีน้ำตาลแก่ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่เบื้องหน้า ด้านหน้าทางเข้าจะมีป้ายชื่อของโรงแรมที่พักติดอยู่บนผนังไม้สีโอ๊ค โดยมีโลโก้เป็นรูปตัว S ซึ่งเป็นตัวย่อของคำว่า Saturdays นั่นเอง

หลังจากจอดรถเรียบร้อยที่ชั้นใต้ดินแล้ว พวกเราก็พากันเดินลากกระเป๋าเดินทางพร้อมด้วยสัมภาระติดตัว เดินขึ้นยังชั้นบนเพื่อทำการเช็คอิน ผ่านซุ้มทางเข้าที่สูงโปร่งกันแดดกันฝนแล้วเดินขึ้นไปตามบันได ตรงกลางจะเจอกับพื้นที่โล่งๆ ที่มีเก้าอี้วางเรียงรายให้ลูกค้าได้นังเล่น หันไปดูทางผนังด้านขวามือจะเจอกับภาพเขียนกราฟิตี้รูปนกขี้โมโห หรือ Angry Bird อืม! วาดได้สวยและได้อารมณ์มากจริงๆ

ในขณะที่ย่างก้าวช้าๆ ผ่านเข้าไปเพื่อทำการเช็คอิน บอกได้เลยว่าที่นี่ดูทันสมัยและหรูหราเอามากๆ เพดานที่สูงโปร่งดูแล้วไม่อึดอัดเลยแม้แต่น้อย ให้ความรู้ดีมากทีเดียว ภายในห้องที่ทำการเช็คอินก็แลดูโปร่งทันสมัย พนักงานต้อนรับยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นกันเองดี นี่แค่เริ่มต้นยังประทับใจขนาดนี้ งั้นก็ตามเราไปเรื่อยๆ นะครับว่า จะมีอะไรให้เราได้เซอร์ไพรส์กันอีก

ออกจากห้องเช็คอินพร้อมกุญแจก็เดินเลี้ยวซ้ายไปทางด้านขวามือ ผ่านบันได้ที่จะขึ้นไปยังชั้นบน ตรงมุมจะมีจักรยานเอาไว้คอยบริการลูกค้าแขวนอยู่หลายคัน เริ่มเก๋ไก๋เข้าแล้ว เดินตรงไปอีกนีสก็จะเป็นประตูที่เปิดเข้าไปในส่วนของที่พัก ที่ประตูเราจะต้องใช้กุญแจที่เป็นคียฺการ์ดเปิดเพื่อความปลอดภัย กันคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปรกวน อืม! อันนี้ปลอดภัยสำหรับผู้ที่มาพักดี ชอบ ชอบ

การตกแต่งของที่นี่จะใช้รูปแบบของกราฟฟิคมาทำการผสมผสาน เป็นตัวหนังสือที่ตัดด้วยสติ้กเกอร์สีดำ ดูๆ แล้วน่าจะเป็นสำนวนหรือวลีเพราะ เอาไปติดบนพื้นผนังสีเทาเข้ม ดูแล้วเก๋ไก๋สมัยใหม่ดี อย่างตรงที่แขวนจักรยานจะมีคำว่า A Bicycle Ride Around The World  หรือตรงผนังที่ใกล้ๆ กับทางเข้าที่พักก็จะมีคำว่า Coffee is a Gift from The Heavens อะไรประมาณนี้

พอเปิดประตูผ่านเข้าไปก็จะเจอกับห้องที่ทำเป็นตู้จดหมายสีดำติดอยู่ทางผนังด้านซ้าย เอาไว้ให้ลูกค้าที่มาพักใช้บริการ ที่ตรงนี้นอกจากจะมีตู้จดหมายแล้ว ยังมีเก้าอี้โซฟาและโคมไฟเอาไว้ให้ลูกค้าได้นั่งพักผ่อนกันอีกด้วย 

เดินตรงเข้าไปก็เจออีกหนึ่งประตู ที่ตรงนี้ก็ต้องใช้คีย์การ์ดเปิดผ่านเข้าไปอีก อืม! ดูแล้วก็สร้างความรู้สึกปลอดภัยสำหรับผู้ที่มาเข้าพักได้เป็นอย่างดี และก่อนที่จะเดินตรงไปขึ้นลิฟท์เพื่อขึ้นไสู่ยังห้องพัก  เราขอมาพูดถึงคอนเซ็ปท์ของที่นี่กันสักนิดหน่อยนึงนะครับ

Saturday Residence Phuket เป็นคอนโดระดับพรีเมี่ยม ตั้งอยู่มนย่านฉลอง-ใสยวน ใกล้ๆ กับหาดในหาน บริหารงานและดำเนินกิจการโดยบริษัท ดิ แอติจูด คลับ โดยมีรางวัล Most Recommended Best Condo Development (Phuket) 2016 การันตรีคุณภาพ ความสวยงามด้านการออกแบบ รวมไปถึงความคุ้มค่าของราคา สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยในรูปแบบของ Serviced Residence เป็นที่พักที่ได้มาตรฐานสำหรับการพักแบบ Long stay ที่มี Facility ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี

Saturday Residence Phuket เป็นที่พักที่มีทั้งขาย ให้เช่า และบริการให้พัก จริงๆ แล้วมันคือคอนโดในรูปแบบของที่พักที่ดูฟๆ แล้วคล้ายๆ กับโรงแรม ที่นี่จะมีสิ่งอำนวความสะดวกให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น สระว่ายน้ำขนาดมาตรฐานการแข่งกีฬาโอลิมปิค 2 สระ มี Pool Access 2 สระ รวมไปถึงการสร้าง Community สำหรับผู้พักอาศัยด้วย

มีห้องสมุด ห้องฟิตเนส ห้องซาวน์น่า มีร้านค้าและร้านอาหาร Origami Cafe ที่ให้บริการอาหารแบบ All Day Breakfast โดยมีไฮไลท์เป็นพื้นที่ส่วนกลางบนชั้นดาดฟ้า ที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้แบบ 360 องศากันเลยทีเดียว เล่นกันชนิดที่เมื่อเข้ามาอยู่หรือมาพักแล้ว ลูกค้าก็ไม่ต้องออกไปไหนกันอีกแล้วเลย

เราพากันเดินตรงไปยังลิฟท์เพื่อที่จะขึ้นไปสู่ยังห้องพักที่ชั้นสาม ตรงผนังที่จะขึ้นลิฟท์จะถูกออกแบบเพื่อบ่งบอกว่าเราอยู่ที่ชั้นไหน ออกแบบเก๋ไก๋เหมือนของเล่นที่เคยผ่านหูผ่านตามาแล้ว เป็นพลาสติกเป็นช่องๆ มีรูปกาต้มน้ำ แก้วกาแฟ ช้อน และเมล็ดกาแฟ ตรงกาน้ำจะเขียนบ่งบอกชั้นเอาไว้ว่าเรากำลังอยู่ชั้นที่เท่าไหร่ อืม! คิดได้ไงเนี่ย เก๋ไก๋ดีมากเลย

เราเดินออกจากลิฟท์ตรงบริเวณชั้นที่ 3 ใช้คีย์การ์ดทำการเปิดประตูห้องเข้าไปยังบริเวณภายใน คราวนี้เรามาดูภายในห้องกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง 

เมื่อเดินผ่านเข้าไป ทางด้านซ้ายจะเป็นส่วนของห้องน้ำ ส่วนทางด้านขวาจะเป็นที่โล่งๆ เอาไว้สำหรับวางเครื่องซักผ้า ราวตากผ้า มองตรงไปก็จะเจอกับห้องนั่งเล่นที่มีขนาดกว้างขวาง บริเวณตรงนี้จะเป็นทั้งครัว ห้องรับประทานอาหาร ห้องนั่งเล่นอยู่ในตัว การตกแต่งถือว่าสมัยใหม่เอามากๆ มีการประดับประดาไปกเวยรูปภาพเก๋ๆ มีโคมไฟห้อยระย้าลงมา มีทีวีจอแบนเอาไว้ให้นั่งชมหนึ่งเครื่องขนาดใหญ่พอสมควร มองเลยออกไปก็จะเป็นระเบียง มีประตูบานเลื่อนเชื่อมต่ออกไปนั่งที่โซฟาทางด้านซ้ายมือได้อีกด้วย

ถัดจากห้องนั่งเล่นไปทางด้านขวามือ จะมีห้องนอนขนาดสองคนนอนอยู่อีกหนึ่งห้อง ระเบียงด้านนอกก็จะมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่วางเอาไว้ให้ลูกค้าได้ไปนอนแช่น้ำอย่างเลินๆ

ทางด้านซ้ายมือถัดจากห้องนั่งเล่นจะมีห้องนอนขนาดใหญ่ที่เป็นเตียงเดี่ยว ที่นอนขนาดใหญ่มีผ้าขาวปูเรียบเนียนหนานุ่ม มันชวนให้เราอยากจะกระโดดขึ้นไปนอนดิ้นไปดิ้นมา ภายในห้องก็จะมีทีวีจอแบนขนาด 32 นิ้ววางเอาไว้ให้หนึ่งเครื่อง หมอนและผ้าห่มถูดจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเพียงพอ มีตู้เสื้อผ้าและตู้เซฟให้ด้วย

ห้องนี้สามารถที่จะเปิดประบานเลื่อนออกไปนั่งดูวิวที่โซฟาด้านนอกระเบียงได้เหมือนกัน ทุกห้องของที่นี่จะถูกออกแบบให้มองเห็นสระน้ำได้ทั้งหมด มองลงไปทางด้านล่างยังสะน้ำ จะมีต้นมะพร้าวที่มีใบเขียวขจีสร้างความรู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่ได้ยืนชม

สำหรับห้องพักขนาดใหญ่นี้ เราสามารถที่จะเข้าพักได้ครั้งละหลายๆ คน โดยแยกกันนอนห้องละสองคนได้อย่างสบายๆ จริงๆ ก็ได้เคยเกริ่นเอาไว้ในช่วงแรกๆ แล้วว่า ที่ Saturday Residence Phuket ทำเอาไว้สำหรับลูกค้าที่สนใจจะซื้อ ที่นี่จึงทำเป็นห้องขนาดใหญ่เอาไว้รองรับ แต่ก็เปิดให้บริการสำหรับลูกค้าที่จะเข้ามาพักเป็นได้เหมือนกัน

ในขณะที่ได้ทำการพักผ่อนอยู่ที่นี่เพียงแค่สองคืนกับสามวัน ต้องบอกเลยว่าโอเคมากๆ เป็นสถานที่ที่ตอบโจทย์ได้ในหลายๆ ด้านอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ดูหรูหราและทันสมัย มีมุมสวยๆ ให้เราเลือกนั่งและถ่ายรูปอย่างเพลินๆ มากมายหลายมุม มีห้องนั่งสือให้ไปนั่งชิลล์ๆ มีห้องฟิตเนส มีห้องอาหารที่รชาติและหน้าตาต้องบอกว่าสวยงามและอร่อยถูกปาก และในยามค่ำคืน สีฟ้าเข้มๆ ของสระน้ำขนาดใหญ่ที่เห็นในยามค่ำคืน มันสร้างบรรยากาศและอารมณ์ร่วมได้ดีจริงๆ ขอบอก

สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่เบอร์โทร 076 613 080 เว็บไซต์ www.saturdaysresidence.com 

ไปเดินเล่นสร้างภาพชิลล์ๆ กันที่ …“เขาใหญ่-ปากช่อง” กับ Mercedes Benz GLC 300e 4MATIC Coupe

0

พบกันอีกแล้ว กับ คอลัมน์ท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์ สบายๆ ชิลล์ๆ ด้วยการขับรถท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะใกล้ หรือ ไกล การเดินทาง สิ่งสำคัญที่สุดก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ยานพาหนะในการเดินทางนั้น คือ สิ่งจำเป็นและสำคัญ ในครั้งนี้เราได้ยานพาหนะที่ต้องบอกเลยว่า เปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติและสมรรถนะในการขับขี่ และที่สำคัญ เป็นรถยนต์แบบ ปลั๊กอิน ไฮบริด อีกด้วย ครั้งนี้เราจะเดินทางไปสร้างภาพเช็คอินกันที่ เขาใหญ่-ปากช่อง ด้วยรถยนต์ Mercedes Benz GLC 300e 4MATIC Coupe ยานพาหนะคู่การเดินทางสำหรับการท่องเที่ยวในทริปนี้

สเป็คคร่าวๆ ก่อนเล่าเรื่องเดินทาง สำหรับเจ้า Mercedes Benz GLC 300e 4MATIC Coupe มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ความจุ 1,991 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,300-4,000 รอบต่อนาที แค่นี้ก็แรงเหลือๆ แล้ว แต่ยังพ่วงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 122 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร แรงม้ารวมทั้งระบบ 315 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดรวม 700 นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC กระชากรถหนัก 2 ตัน ให้ทำความเร็วจากจุดหยุดนิ่งไปถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 5.8 วินาที ท๊อปสปีด 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ข้อมูลคร่าวๆ ก็ประมาณนี้ก่อนนะครับ

ก่อนเดินทางไปยังจุดหมายที่เขาใหญ่-ปากช่อง เฟรมแรกก็ต้องเปิดกันที่ร้านกาแฟสิครับ แหม! พลาดได้ไง “คาเฟอีน” ตัวกระตุ้นเลยหละ 5555+

ครั้งแรกที่เห็น Mercedes Benz GLC 300e 4MATIC Coupe เราสองคนถึงกับร้องว้าวเลย เฮ้ย! นี่มันรถในฝันเลยนะ รูปทรงมีขนาดที่พอดี ไม่ใหญ่เกินไป และก๋ไม่เล็ก ดูหรูหรา สง่า แตะตาสำหรับคนที่พบเห็น ยิ่งเป็นสีดำเสียด้วยแล้ว มันดูขรึม สุขุม จริงๆ แถมครั้งนี้ ทางบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ยังคาดสติ้กเกอร์สีขาวตัวใหญ่ๆ ที่ด้านข้างทั้งสองด้าน ด้วยคำ Driven Event แหม! มันโดนใจจริงๆ ขับไปไหนก็มีแต่คนมอง

ที่ร้านกาแฟ เราสองคนก็ขอสร้างภาพกับ Mercedes Benz GLC 300e 4MATIC Coupe เป็นที่ระลึกสักหน่อย เสร็จก็เดินเข้าไปภายในร้านเพื่อทำการสั่งกาแฟ ร้านการแฟที่นี่ตกแต่งดูดีทีเดียว ไม่ยอมให้เวลาผ่านไปเฉยๆ สร้างภาพกันสิครับรออะไร 5555+

ออกจากร้านกาแฟเวลาประมาณบ่ายโมงกว่าๆ ก็ขับมุ่งหน้าไปยังที่พักกันเลย ครั้งนี้เราได้ที่พักที่เขาใหญ่ คือ โรงแรมแกรนด์ ฟอร์จูน แอท วอร์ยาร์ด เขาใหญ่ ใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ ก็ขับไปเรื่อยๆ แบบสบายๆ ระหว่างการเดินทางก็เปิดเพลงจากเครื่องเสียงของตัวรถ เรื่องเสียงคงไม่ต้องพูดถึง ฟังสบายๆ ให้รายละเอียดครบๆ สร้างความเพลิดเพลินระหว่างการเดินทางได้ดีทีเดียว

Mercedes Benz GLC 300e 4MATIC Coupe คันนี้มาพร้อมกับ Sunroof ขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมถึงที่นั่งผู้โดยสารด้านหลัง เราสามารถที่จะเลือกให้เปิดให้อยู่ตามตำแหน่งได้ตามต้องการ ขนาดที่กว้างทำให้เราสามารถเปิดเพื่อรับแสงและมองดูท้องฟ้าแบบเพลินๆ ได้เลย

เดินทางถึงที่พักเวลาเกือบๆ สี่โมงเย็น เพราะด้วยระยะทางที่ไม่ไกลมากนัก เราสองคนเลยไม่ต้องเร่งรีบ ก็มีแวะเข้าห้องน้ำ ซื้อกาแฟ ก็ขับกันไปแบบชิลล์ๆ ตามสไตล์ ก็คิดกันว่าวันนี้ก็คงไม่ได้ไปสร้างภาพกันที่ไหน เพราะด้วยเวลาที่ใกล้ค่ำ อีกอย่างแสงก็เริ่มไม่เอื้ออำนวย เราสองคนก็เลยคิดว่าจะเริ่มออกไปเที่ยวของอีกวัน ก็เอาแบบทั้งวันเต็มๆ กันไปเลย

ขับรถเลี้ยวผ้านซุ้มประตูของโรงแรม แล้วก็เลี้ยวเข้าไปจอดยังบริเวณด้านหน้าของตัวอาคาร จอดรถดับเครื่องยนต์พร้อมทั้งนำเอากระเป๋าเดินทางและสัมภาระออกจากท้ายรถ ปิดฝาท้ายพร้อมกับทำการ็อครถแล้วก็พากันเดินเข้าไปยังบริเวณด้านในเพื่อทำการเช็คอิน 

สำหรับโรงแรม แกรนด์ ฟอร์จูน แอท วอร์ยาร์ด เขาใหญ่ ถือเป็นที่พักที่ตอบโจทย์สำหรับคนที่ไปเที่ยวเขาใหญ่ ที่พักอยู่ติดกับถนนสายหลัก มีทั้งหมด 7 ขั้น 66 ห้อง โรงแรมเปิดมาแล้ว 4 ปี ตัวอาคารเป็นสีขาว รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจี บรรยากาศโดยรวมดีทีเดียว 

ครั้งนี้เราสองคนได้อยู่ที่ชั้นบน ออกจากลิฟท์ก็ลากกระเป๋าเดินเข้าห้อง กวาดสายตามองรอบๆ ห้อง เฮ้ย! ดีงาม มันโอเคมาก ห้องพักจัดเป็นสัดเป็นส่วนดี มีแยกห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องนอน และห้องน้ำ อุปกรณ์ก็ครบครัน จริงๆ แล้วที่นี่มันเหมือนกับ Survice Apartment มากกว่า เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบเลย เหมือนว่าอยู่บ้านเรายังไงยังงั้น แต่ออกแบบตกแต่งได้ค่อนข้างลงตัวทีเดียว ผ้าปูที่นอนเนียนนุ่ม

เมื่อเปิดม่านก็จะมีแสงเล็ดลอดเข้ามาที่บริเวณเตียงนอน บนที่นอนก็จะมีตะกร้าหวายใส่ผ้าเช็ดตัววางเอาไว้ ดูรวมๆ มันโอเคมาก บอกเย และเมื่อออกไปยืนที่ระเบียง เราสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเขาใหญ่ได้อย่างชัดเจน มองเห็นภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยแมกไม้สีเขียวขจี ดูแล้วสดชื่นดีจริงๆ

คืนนี้เราสองคนเลยขอพักผ่อนเก็บเรี่ยวแรงกันเอาไว้ก่อน รอเพียงรุ่งเช้าของอีกวันค่อยเดินทางไปหาที่สวยๆ เดินเล่นสร้างภาพกัน ก็มาคิดกันว่า ที่ Toscana Valley มีมุมสวยๆ ให้เราได้สร้างภาพกันเยอะเลย 

เช้าของอีกวันหลังจากรับประทานอาหารมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้อย วันนี้แหละ เราจะได้เดินทางไปที่ Toscana Valley กัน ระยะทางจากที่พักไปยัง Toscana Valley ประมาณ 17 กิโลเมตร ก็ไม่ไกลเลย การเดินทางใช้เวลาเพียงแค่ 25 นาทีเอง 

ออกเดินทางจากที่พักเวลาห้าโมงเช้า ช่วงเช้ามีฝนโปรยปรายลงมานิดหน่อยพอให้ชุ่มฉ่ำ ระหว่างเดินทางฝนก็หยุดตกพอดี แสงแดดเริ่มทำหน้าที่ของมัน ท้องฟ้าเริ่มโปร่งใส คาดว่าวันนี้เราสองคนจะได้สร้างภาพออกมาได้สวยงามดั่งที่ตั้งใจเป็นแน่แท้ เสียงเพลงที่ส่งผ่านจากสมาร์ทโฟนไปยังเครื่องเสียงของ Mercedes Benz GLC 300e 4MATIC Coupe มันช่วยสร้างบรรยากาศในการเดินทางได้เป็นอย่างดี

ถนนหนทางที่ตรงไปยัง Toscana ถือว่าดีทีเดียว รถยนต์ก็มีให้เห็นบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับมากมายนัก ขับกันไปแบบสบายๆ ไปเร่งรีบ เราสองคนเดินทางถึงบริเวณปากทางเข้าไปยัง Toscana Valley ทางด้านขวามือจะมองเห็นหอเอนสีขาวตั้งตระหง่านอย่างเด่นชัด ด้านหน้าติดถนนจะมีร้านค้าขายของตั้งเรียงรายอยู่

ขับรถเลี้ยวขวาผ่านป้ายขนาดใหญ่ที่เป็นชื่อ Toscana Valley จนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่บริเวณประตูทางเข้าไปยังบริเวณด้านใน ตรงนี้แหละที่เราจะต้องเจอกับเจ้าหน้าที่ รปภ. ก็ทำการแลกบัตรผ่าน หลังจากนั้นก็ขับรถเข้าไปยังด้านในสุดที่เป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ เราสองคนก็ตั้งใจจะไปหาร้านกาแฟเก๋ๆ นั่งดื่มกาแฟกันสักคนละแก้ว หลังจากนั้นก็ค่อยไปเดินเล่นถ่ายรูปชิลล์ๆ กับสถานที่กัน

ที่ Toscana  Valley นอกจากจะมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ แล้ว ที่นี่ ยังมีมุมถ่ายรูปเยอะแยะมากมายเลยทีเดียว หลังจากดื่มกาแฟเสร็จเราสองคนก็เลยใช้เวลาอยู่สร้างภาพกันเพลินเลย ใช้เวลาก็น่าจะร่วมๆ ชั่วโมงเห็นจะได้ ก็ได้ภาพกนัจนเป็นที่พอใจ

เสร็จแล้วก็ขึ้นรถขับออกไปยังเส้นทางที่เราเข้ามาในตอนแรก เพราะตอนที่ขับเข้ามา  สายตาก็เหลือบไปเห็นสถานที่ที่พอจะเลี้ยวรถเข้าไปจอดเพื่อสร้างภาพกัน โดยมีฉากหลังเป็นหอเอนสีขาวเป็นแบล็คกราวนด์ ขับรถมาเรื่อยจนถึงบริเวณที่เราคิดกันไว้ ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายพอดี ก็เลยพากันขับรถเลี้ยวรถเข้าไปจอดใกล้ๆ กับเนินหญ้า ขยับรถจนได้มุมที่ต้องการ หลังจากนั้นก็เริ่มต้นการสร้างภาพกัน 

การมาสร้างภาพในครั้งนี้ เราต้องการที่จะได้ภาพสวยๆ แบบฉากหลังละลายเนียน ก็เลยเอากล้องฟูลเฟรม Nikon D750 พร้อมติดเลนส์ซูม 80-200 มม. เอฟ ที่ 2.8 มาเป็ฯตัวช่วยในการสร้างภาพในครั้งนี้ ภาพที่ได้แต่ละภาพก็ต้องบอเลยว่า พอใจนางแบบส่วนตัวเอามากๆ น่านปะไร

เราสองคนใช้เวลาในการสร้างภากับ Mercedes Benz GLC 300e 4MATIC Coupe จนเป็นที่พอใจก็พากันเดินทางกลับที่พัก ที่ โรงแรมแกรนด์ ฟอร์จูน แอท วอร์ยาร์ด เขาใหญ่ วันนี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นทริปท่องเที่ยวสร้างภาพกัน 

[ ล อ ง ขั บ กั น บ้ า ง ]

ในการเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้ ผมเองในฐานะผู้เขียน ก็ได้มีโอกาสทดลองขับ Mercedes Benz GLC 300e 4MATIC Coupe จากที่พักเดินทางไปยังปั๊มน้ำมันใกล้ๆ กับตัวเมืองากช่อง ก็ต้องบอกเลยว่า Mercedes Benz GLC 300e 4MATIC Coupe เป็นรถที่ขับดีจริงๆ ขนาดกำลังดี กระชับ พวงมาลัยหนึบ การทรงตัวนั้นทำได้ดีเยี่ยม การเข้าโค้งหนึบแบบมั่นใจ อัตราการเร่งทำได้ทันใจดี ด้วยสมรรถนะของรถเองที่ทำออกมากดี การขับจี่จึงสร้างความมั่นอกมั่นใจได้อย่างชนิดที่ว่า ขับเพลินจนลืมดูเข็มไมล์กันเลยทีเดียว

———————

ทริปนี้ก็ต้องขอขอบคุณ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อรถ Mercedes Benz GLC 300e 4MATIC Coupe กับกิจกรรม Driven Event ในครั้งนี้

———————

ขับรถขึ้นอีสาน พาไปเที่ยว…“โลกของช้าง” กับยานพาหนะคู่การเดินทาง Volvo XC60

0

ห่างหายกันไปสักพักใหญ่ๆ กับการเขียนคอลัมน์ท่องเที่ยว ก็สืบเนื่องมาจากเหตุการ์โควิด-19 นี่แหละ ก็เลยทำให้ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนกันเลย และหลังจากเหตุการณ์เริ่มเบาบางลงมาบ้าง ทางทีมงานก็ได้เริ่มออกท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อที่จะนำเรื่องราวและประสบการณ์ต่างๆ มานำเสนอลงในเว็บไซต์

ครั้งนี้ก็เลยมาคิดกันว่าพวกเราน่าจะเดินทางขึ้นภาคอีสานกันบ้าง ถึงแม้ว่าอากาศมันจะร้อน แต่ภาคอีสานก็มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามเยอะแยะมากมาย เมื่อตกลงกันได้ก็เลยตัดสินใจเลือที่จะเดินทางไปเที่ยวและถ่ายทำกันที่จังหวัดสุรินทร์ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ Elephant World Advrnture [โลกของช้าง] ซึ่งตอนนี้ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างก็เดินทางไปเที่ยวกัน และในครั้งนี้เราได้รถยนต์ Volvo XC60 Recharge Plug-in Hybrid เป็นเพื่อนคู่การเดินทาง

เปิดเฟรมแรกของการเดินทางด้วยมื้อเที่ยงกันเลย ที่ร้าน Burger King ก็เอาแบบง่ายๆ ก็อาศัยกินกันในรถนี่แหละสะดวกดี ก่อนเดินเข้าไปภายในร้านเพื่อสั่งอาหารก็ขอสำรวจตัวรถสักหน่อย รูปลักษณ์ทั้งภายนอกและภายใน ผมว่า Volvo XC60 ทำออกมาดีสมบูรณ์แบบ สวยงาม หรูหรา วอลโว่ทำออกมาได้แตกต่างและเปลี่ยนแปลงไปมากจากรุ่นเดิมๆ รุ่นนี้เป็น SUV ขนาดกลางๆ คันไม่ใหญ่และก็ไม่เล็ก ถ้าไม่บอกว่า Volvo XC60 เป็นรถ SUV และเป็นรถ 4 Wheels  ด้วยแล้ว ใครเห็นก็คงไม่เชื่อทั้งนั้นแหละ แต่ยุคนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ว่ามั้ย?

สั่งอาหารที่ร้าน Burger King เสร็จก็ขึ้นรถและพร้อมจะออกเดินทางไปยังเป้าหมาย ปลายทางของทริปนี้ก็โน่นเลย จังหวัดสุรินทร์ ระยทางก็ประมาณ 4 ร้อยกว่ากิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางก็หกชั่วโมงกว่าๆ แต่ทริปนี้มีชื่อว่า “เที่ยวข้ามจังหวัด” เราสองคนก็คงจะแวะไปเรื่อยๆ ระหว่างเส้นทางก็จะต้องผ่านหลายจังหวัด หลักๆ ก็มี สระบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ แล้วก็ไปจบทริปกันที่จังหวัดสุรินทร์ โดยในครั้งนี้เราจะไปเที่ยวสร้างภาพกันที่ Elephant World Adventure [โลกของช้าง] ซึ่งตอนนี้ก็มีการปรับปรุงและเพิ่มสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ขึ้นมาเยอะเลย จะสวยแค่ไหนตามเราสองคนไปเรื่อยๆ นะครับ

Volvo XC60 Recharge T8 Plug-in Hybrid AWD เป็นเครื่องยนต์เบนซิน Drive E 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,969 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 93.2 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.3 : 1 พ่วง Turbocharged และ Supercharged กำลังสูงสุด 320 แรงม้า (PS) ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิด 400 นิวตันเมตร ที่ 2,200 – 5,400 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 87  แรงม้า ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิด 240 นิวตันเมตร

ในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ก็จะได้พละกำลังสูงสุด 407 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 640 นิวตันเมตร จับคู่กับ เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Geartronic พร้อมระบบ Plug-in Hybrid แบตเตอรี่ Lithium-ion 11.6 kWh ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเครื่องยนต์ – ล้อหลังขับเคลื่อนด้วย Electric Rear Axel Drive รองรับน้ำมันสูงสุด E10 และนี่คือรายละเอียแบบรวมๆ ของเจ้า Volvo XC60

ขึ้นรถเสร็จก็สำรวจสิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ที่ใช้งานกันก่อนเลย ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์จะวางอยู่ตรงกลาง ลักษณะเหมือนวอลลุ่มวิทยุ ใช้บิดไปทางด้านขวาเล็กน้อยเพื่อทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ เวลาดับเครื่องก็บิดไปทางด้านขวาหนึ่งครั้งเบาๆ เหมือนตอนสตาร์ทเครื่อง จอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ใช้งานง่าย ทัชลื่น ปุ่มปรับการทำงานส่วนมากจะอยู่ที่หน้าจอทั้งหมด ก็ถือว่าสะดวกสบายจริงๆ ในการใช้งาน

การเดินทางเราก็ต้องอาศัย Google Maps ซึ่งโดยปกติทั่วไปก็จะต้องต่อสาย USB เข้ากับเครื่องเพื่อเชื่อต่อกับระบบ Apple Car Play หรือ Android Auto แต่ และก็แต่ เจ้า Volvo XC60 คันนี้ไม่สะดวกขึ้นไปอีก เพราะติดตั้งเจ้า Google Maps ในตัว การทำงานก็มีสองแบบ จะใช้พิมพ์เอา หรือใช้เสียงสั่งงานก็ได้ เราก็เลยทดสอบเสียเลย ด้วยการบอกด้วยเสียงให้ตั้งไปที่เป้าหมาย พูดเสร็จชื่อของสถานที่ก็จะปรากฏอยู่บนหน้าจอก็เป็นอันเสร็นสิ้น แะที่สำคัญและถือว่าเป็นประโยชน์สำหรับคนขับก็คือ แผนที่หรือพิกัดจาก Google Maps ก็จะไปปรากฏอยู่บนหน้าปัทม์ด้านหน้าคนขับอีกด้วย เวลาดูเส้นทางก็จะสะดวกและปลอดภัย ไม่ต้องละสายตาเหลือบไปมองหน้าจอมอนิเตอร์ที่อยู่ทางซ้ายมือตรงกลาง อันนี้ชอบมาก

เดินทางมาได้สักพัก อารมณือยากคาเฟอีนก็บังเกิด แหม! การเดินทางท่องเที่ยว กาแฟก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดกันไม่ได้จริงๆ แวะสิครับรอะไร ปั๊มน้ำมันพีทีนี่เลย เราสองคนมีบัตรแดงที่ใช้สิทธิ์ลดครึ่งราคาเสียด้วย ดีงาม เมื่ออารมณ์เกิดก็เลี้ยวรถเข้าไปภายในปั๊มน้ำมัน เมนูโปรดของเราสอคนก็ต้องนี้เลย อเมริกาโน่เย็นไม่หวาน และกาแฟส้ม ได้กาแฟเสร็จก็เดินมาขึ้นรถก็พร้อมออกเดินทางกันต่อ ระหว่างการเดินทางเสียงเพลงก็ขาดไม่ได้เช่นกัน การเชื่อมต่อบลูทูธนั้นทำได้ง่ายดายและรวดเร็วดีมาก เสียงที่ได้ฟังจากเครื่องเสียงของตัวรถถือว่าอยู่ในระดับที่ดีและเป็นที่น่าพอใจ รายละเอียค่อนข้างครบ เสียงกลางแหลมและเบสกำลังดี มันช่วยขับกล่อมและช่วยเสริมสร้างบรรยากาศระหว่างการเดินทางได้ดี่ทีเดียว

เวลาประมาณสี่โมงเย็นกว่าๆ เราสองคนเดินทางผ่านสระบุรี ขับผ่านเขื่อนลำตะคองก็หกโมงเย็น บางช่วงของการเดินทางก็มีเม็ดฝนโปรยปรายลงมา สร้างความชุ่มฉ่ำได้ดีพอสมควร ผ่านเขื่อนลำตะคองยาวไปยังจังหวัดนครราชสีมา ระหว่างทางก็มีแวะปั๊มเพื่อเข้าห้องน้ำและซื้อกาแฟ คราวนี้ก็เป็นปั๊มน้ำมัน ปตท.

สั่งกาแฟเสร็จฝนก็เทลงมาหนักเลย เราสองคนก็เลยติดอยู่ที่ร้านกาแฟเกือบๆ ครึ่งชั่วโมง รอจนกระทั่งฝนซาเม็ดก็ออกเดินทางกันต่อ เวลาก็ใกล้ค่ำเข้าไปทุกที เป้าหมายในค่ำคืนนี้ก็คงต้องหาที่พักค้างคืนกันก่อน โดยตั้งพิกัดไปยังโรงแรมฮอป อิน บุรีรัมย์ 

เดินทางถึงที่พัก ฮอป อิน บุรีรัมย์ เวลาสามทุ่มกว่าๆ หิวก็หิว เลี้ยวรถเข้าไปยังที่พักพร้อมกับเดินทเข้าไปทำการเช็คอินเสร็จ เราสองคนก็เดินออกมาหาอาหารกินกันที่บริเวณด้านข้างที่พัก ซึ่งก็ได้เวลาที่ร้านค้าทำการเปิดบริการกันพอดี มื้อนี้อยากกินรสแซ่บๆ เผ็ด ของผมก็เลยสั่งเมนูผัดกะเพราเครื่องในไก่ ตามมาด้วย กุ้งแช่น้ำปลา ยำหมูยอ ไข่เจียวกุ้ง และอีกหนึ่งเมนูจำชื่อไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ คือ อร่อยและแซ่บมากๆ บอกเลย กินอาหารกันเสร็จก็เดินกลับไปยังโรงแรมเพื่อนอนพักผ่อนเอาแรง พรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทางกันต่อ เหตุที่เราสองคนมักเลือกโรงแรมฮอป อินน์ ก็เพราะที่นี่จะสะดวก สะอาด ปลอกภัย และได้มาตรฐาน อีกอย่าง ราคายังไม่แพงอีกด้วยสิ หกถึงเจ็ดร้อยบาทต่อคืนเอง ดีงามมาก บอกเลย

ตื่นขึ้นมาในเวลารุ่งเช้าของอีกวัน ที่ ฮอป อินน์ บุรีรัมย์ คืนนี้เราก็คงต้องพักที่จังหวัดนี้อีกหนึ่งคืนก่อนที่จะเดินทางไปยังจังหวัดสุรินทร์ เพราะเรามีงานที่ในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ก็ถือเป็นการดีเลย จะได้นำรถ Volvo XC60 ไปถ่ายคู่กับป้ายของสนามช้างเสียด้วยเลย ดีงามเข้าไปอี๊กกก

เช้าของอีกวันหลังจากรับประทานอาหารเช้ากันเสร็จ การเดินทางก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายของเราสองคน และของทริปนี้ก็คือ จังหวัดสุรินทร์ นั่นก็คือ Elephant World Adventure [โลกของช้าง] ระยะทางจากบุรีรัมย์ไปยังจุดมายก็ประมาณเกือบ 70 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 1 ชั่วโมงกว่าๆ โดยขับไปตามถนนหมายเลข 219

ระหว่างการเดินทาง เราก็ได้เสียงเพลงจากเครื่องเสียงของ XC60 ขับกล่อม สร้างความเพลิดเพลินให้กับการเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี การต่อบลูทูธเข้ากับตัวรถนีชั้นทำได้อย่างง่ายดาย ให้รายรายละเอียดครบทุกย่านความถี่ ทั้งเสียงต่ำ กลาง และแหลม ในขณะที่เราทำการจอดรถและดับเครื่องยนต์ การฟังเพลงก็ถูกตัดไปด้วยแบบอัตโนมัติ แต่เมื่อเวลาสตาร์ทเครื่องยนต์ บลูทูธก็จะทำการเชื่อมต่อให้เราฟังเพลงได้อย่างอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องมาเสียเวลาเชื่อมต่อหใหม่อีกครั้ง อันนี้ถือเป็นความสะดวก สบาย ทันใจคนฟังเพลงจริงๆ

Volvo XC60 เป็นรถ Suv ที่มีซันรูฟติดตั้งมาให้ด้วย การเปิดปิดนั้นทำได้ง่ายดายสะดวกสุดๆ เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วสัมผัส รูดไป รูดมา ก็สามารถที่จะเปิดปิดซันรูฟได้ ถ้าเราจะให้หยุดก็เพียงแค่ใช้นิ้วจิ้มตรงกลาง หรือถ้าจะให้กระจกของซันรูฟเปิดแง้มเพื่อรับลมหรือให้อากาศถ่ายเท ก็เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วกดไปที่ด้านขวามือแค่นั้นเอง  เราสองคนเดินทางถึงสถานที่ Elephant World Adventure [โลกของช้าง] เวลาเกือบๆ สี่โมงเย็น ก็แวะสร้างภาพที่บริเวณด้านหน้าทางเข้าก่อนเลย 

บริเวณทางเข้าจะทำเป็นกำแพงที่ก่อสร้างด้วยอิฐแดงทั้งสองข้าง โครงสร้างค่อนข้างแข็งแรงเอามากๆ กำแพงทางซ้ายมือ ด้านบนจะมีชื่อของสถานที่ที่เป็นภาษาไทย คือ โลกของช้าง จ.สุรินทร์ ส่วนกำแพงทางด้านขวามือก็จะเป็นภาษาอังกฤษ คือ Surin Elephant World ใช้เวลาสร้างภาพกับประตูทางเข้าอยู่สักพักใหญๆ เราสองคนก็ขับรถเข้าไปยังบริเวณด้านในที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ บริเวณนี้จะมีร้านขายของ และก็มีซุ้ม “หมู่บ้านช้างคชศึกษา” ซึ่งป้ายก็ดูเก่าๆ อาจจะเป็เพราะกาลเวลาและอากาศที่ร้อน จึงทำให้ป้ายนั้นเก่าเร็วกว่าที่คิด

เราสองคนคิดกันว่า พรุ่งนี้ค่อยเดินทางเข้าไปเที่ยวยังบริเวณ Elephant World Adventure [โลกของช้าง] ดีกว่า เพราะนี่ก็เกือบจะเย็นเข้าไปแล้ว การเข้าไปเที่ยวเดินชมยังบริเวณด้านในคงต้องใช้เวลานานพอสมควร ไหนจะถ่ายรูป ไหนจะเดินชม และใช้โดรนบินถ่ายภาพมุมสูง เวลาสั้นๆ คงจะเก็บเรื่องราวได้ไม่หมดเป็นแน่แท้ ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางเข้าที่พักกันก่อนเลย ซึ่งที่พักที่เราสองคนะพักในคืนนี้ก็อยู่ไม่ไกลมากนักจาก Elephant World Adventure [โลกของช้าง] ระยะทางแค่ 1 กิโลเมตรกว่าๆ ก่อนที่จะเข้าที่พักก็แวะกินก๋วยเตี๋ยวกันก่อนเลย

ขับรถจากร้านก๋วยเตี๋ยวก็ตรงไปยังที่พักที่อยู่ใกล้ๆ ที่นี่มีชื่อว่า ดุงไฮ โฮมสเตย์ ที่พักสร้างโอเคเลย รูปแบบเป็นเรือนไทยที่ทำด้วยไม้ สร้างเป็นหลังๆ มีที่จอดรถอยู่ด้านในที่พัก ดูปลอดภัยดี สุานที่ดูโอ่อ่า สะอาดสะอ้านดี ราคาก็ไม่แพงมาก มันจึงเหมาะมากกับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ที่ต้องการที่พักที่อยู่ไม่ไกลจาก Elephant World Adventure [โลกของช้าง] 

การมาพักที่นี่ หลายๆ คนอาจจะกังวลในเรื่องของอาหารการกิน แต่บอกเลยว่าที่นี่มีร้านขายอาหารเหมือนกัน ตกค่ำเราสองคนก็ขับรถออกจากที่พักที่ ดุงไฮ โฮมสเตย์ เลี้ยวซ้ายไปตามถนนก็จะไปเจอกับหมู่บ้าน ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก กลางคืนก็มีร้านขายบะหมีเกี๊ยวให้เราได้จัดกันแบบอิ่มๆ ได้เช่นกัน อิ่มแล้วก็เดินทางกลับที่พักเพื่อนอนพักผ่อนเอาแรง รอให้รุ่งเช้าของอีกวันค่อยเดินทางไปเที่ยวกันแบบเต็มๆ อิ่ม ที่ Elephant World Adventure [โลกของช้าง]

อากาศในช่วงสายๆ ของอีกวันมันช่างร้อนเอาเรื่อง แต่ในเมื่อตั้งใจมาเที่ยวกันแล้ว อุปสรรคแค่นี้ถื่อว่าเรื่องจิ๊บๆ เราสองคนเดินทางออกจากที่พักถึง Elephant World Adventure [โลกของช้าง] เวลาประมาณ 10 โมงเช้า แดดเปรี้ยงกันเลยทีเดียว ดีที่บางเวลามีเมฆมาบดบังดวงอาทิตย์กันบ้าง ขับรถเข้าไปยังบริเวณด้านในของสถานที่ ก็เลือกไปจอดตรงบริเวณด้านหน้าของปิรามิดกันเลย เพราะมุมนี้แหละที่เราจะใช้โดรนบินถ่ายภาพมุมสูงเพื่อให้ได้ภาพสวยๆ

โครงการโลกของช้าง “Elephant World” เกิดจากความร่วมมือของรัฐบาลจัดสรรงบกระตุ้นเศรษฐกิจ ร่วมกับ งบส่วนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ รวม 455 ล้านบาท เนรมิตรความยิ่งใหญ่บนพื้นที่กว่า 500 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 2,700 ไร่ ด้วยความตั้งใจจะให้เป็นศูนย์อนุรักษ์ช้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยจะจัดแสดงเรื่องราวของช้าง เป็นแหล่งศึกษาข้อมูลทางวิชาการของช้าง และผลักดันให้โลกของช้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวเกี่ยวกับช้างแบบครบวงจร รวมทั้งจะมีช้างอยู่ที่นี่มากที่สุดในโลกด้วย

สำหรับในเรื่องการออกแบบสิ่งก่อสร้างนั้น โครงการโลกของช้าง ได้ผู้ช่วยศาสตราจารย์ บุญเสริม เปรมธาดา อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้ามารับหน้าที่ออกแบบโครงการ โดยใช้เวลากว่า 5 ปีกว่าจะสำเร็จลุล่วง ภายในแบ่งออกเป็น 8 ส่วน ซึ่งล้วนแต่เป็นโครงสร้างแปลกตาอลังการสมกับงานช้างทั้งสิ้น มีทั้งซุ้มประตูทางเข้า สนามแสดงช้าง สระช้างเล่นน้ำ หอชมช้าง โรงภาพยนตร์ พิพิธภัณฑ์ และการท่องไพร ที่มีทั้งแบบท่องไพรปกติ และท่องไพรแบบแอดเวนเจอร์ เรียกว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวเกี่ยวกับช้างแบบครบวงจรที่สุดในโลกก็ว่าได้

โครงการโลกของช้าง อยู่ใกล้เคียงกับศูนย์คชศึกษาหมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง ต.กระโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ที่ปกติจะมีการแสดงช้างทุกวัน รอบเช้า 10.00 น. และรอบบ่าย 14.00 น. ซึ่งนอกจากการแสดงช้างแล้ว ยังได้สัมผัสกับวิถีชีวิตคนเลี้ยงช้างได้ในทุกๆ วัน

ในครั้งนี้เราเลือกที่จะเที่ยวในส่วนของปิรามิด หรืออาคารพิพิธภัณฑ์ นั่นเอง เพราะเป็นสถานที่ที่เราจะถ่ายรูปกันออกมาสวยและแปลกตาดี ก่อนที่จะเข้าไปเดินชมยังบริเวณด้านในของปิรามิด เราสองคนก็แวะไปชมช้างเตะบอลกันก่อน ก็สนุกดี ช้างแต่ละเชือกแสนรู้และน่ารักเอามากๆ พอเตะลูกบอลเข้าโกได้ก็แสดงความดีใจด้วยท่าทาง ดูแล้วสร้างความสุขให้กับนักท่องเที่ยวได้ดีทีเดียว

เสร็จจากดูช้างเตะบอลก็ได้เวลาที่จะไปเดินชมบริเวณภายในปิรามิด หรืออาคารพิพิธภัณฑ์ เวลาในช่วงนี้ก็ถือว่าร้อนเอาเรื่อง อุณหภูมิอยู่ที่ 44 องศา โอ้ว! พระเจ้า มันร้อนมากนะ แต่ก็เอาหละ ก็มาแล้วนี่ ร้อนก็ทนเอา เพื่ภาพที่สวยงาม ว่างั้น?

โครงสร้างของอาคารพิพิธภัณฑ์ หรือปิรามิด จะสร้างเป็นห้องๆ เป็นแบบเขาวงกต มีทางเข้าสี่ด้าน สร้างด้วยอิฐแดงเสียส่วนใหญ่ การเดินชมก็ต้องอาศัยความจำ มิฉะนั้นแล้วอาจมีหลง ถ้ามองจากภาพมุมสูงก็จะเป็นห้องๆ เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา บริเวณภายในก็จะมีห้องสำหรับแสดงงาน ซึ่งในตอนนี้มีการแสดงภาพถ่ายของสถานที่ในมุมมองต่างๆ จากช่างภาพที่หลากหลาย แต่ละมุมมองก็ถ่ายทอดออกมาได้สวยงาม

เดินไปก็สร้างภาพกันไปเรื่อยๆ ร้อนก็ทนเอา บางครั้งก็เพลินจนลืมเรื่องอากาศร้อนไปเลย เดินไปจนถึงจุดตรงกลางของอาคารพิพิธภัณฑ์ ตรงนี้จะทำเป็นรูปช้าง มีบันไดให้คนขึ้นไปเพื่อที่จะได้ไปนั่งบนหลังช้างได้อย่างสะดวก

เดินไปตามห้องต่างๆ ซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ตรงไปบ้าง เดินไปจนครบทุกทางออก แล้วก็เดินย้อนกลับเข้ามาด้านใน สร้างภาพท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว ด้วยอุณหภูมิที่สูงถึง 44 องศา จนกระทั่งคิดว่าสมควรแก่เวลาก็พากันเดินออกไปอีกด้านทางซ้ายมือ แล้วก็พากันเดินลัดเลาะและอ้อมไปยังบริเวณทางด้านหน้าทางเข้าที่เราจอดรถ

หลังจากนั้นก็ขับรถเคลื่อนตัวไปทางด้านซ้ายมือทางในในสุด ที่ตรงนี้ก็จะเป็นในส่วนของ Elephant World Adventure ซึ่งจุดเด่นบริเวณนี้ก็จะเป็น “หอชมวิว “ ซึ่งจะสร้างด้วยอิฐแดงทั้งหมด รูปแบบจะเป็นช่องๆ มองเห็นด้านใน เป็นที่สำหรับให้คนเดินขึ้นไปยังด้านบนสุด 

เมื่อขึ้นไปอยู่ด้านบนสุด เราก็สามารถที่จะมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้แบบ 360 องศา การเดินขึ้นไปด้านบนนั้น ถ้าใครที่กลัวความสูง หรือ ขาแข้งไม่ดี ก็คงจะได้แต่ยืนมองและสร้างภาพกันอยู่ที่บริเวณด้านล่างก็น่าจะเพียงพอแล้ว และที่บริเวณใกล้ๆ กับ “หอชมวิว” ก็จะมี อาคารพิพิธภัณฑ์โรงช้าง ลานวัฒนธรรม ศาลปะกำ และองค์พระพิฆเนศวร์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางด้านนอก เราสองคนก็เลยถือโอกาสจอดรถเพื่อลงไปกราบไหว้สักการะองค์ท่านเสียด้วยเลย

จากองค์พระพิฆเนศวร์ก็ขับรถย้อนออกไปทางเดิมที่หน้าอาคารพิพิธภัณฑ์ (ปิรามิด) วันนี้ถึงแม้อากาศจะร้อนมาก แต่บางเวลาก็มีเมฆมาช่วยบดบังดวงอาทิตย์ให้ไม่ร้อนมาก ก็ถือว่าโอเคสำหรับการมาท่องเที่ยวในครั้งนี้ คราวนี้ก็ได้เวลาเดินทางกลับ ขับรถผ่าออกมาทางด้านประตูางเข้า ขับผ่านร้านค้าที่าวบ้านมาตั้งร้านขายของ ก็เลยหยุดรถอุดหนุนชาวบ้านกันสักหน่อย ได้เป็นข้าวหลามติดไม้ติดมือกลับไปกินระหว่างการเดินทางกันอีกด้วย

สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้ เราได้ยานพาหนะที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสมรรถนะที่ครบถ้วน เป็นรถ SUV ขนาดกลางที่ตอบโจทย์ในทุกการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นถนนทางเรียบและขรุขระ ด้วยความที่เป็นรถ SUV  ที่ขับเคลื่นแบบ 4 Whells All Time ด้วยแล้ว การขับไปยังถนนที่ขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ Volvo XC60 ก็สามารถที่จะปรับรูปแบบในการขับเคลื่อนให้เข้ากับทุกสภาพถนนได้เป็นอย่างดีและสะดวกง่ายดาย โดยที่เราไม่ต้องไปปรับอะไรเพิ่มเติม เพราะรถจะวิเคราะสภาพของถนนและปรับการทำงานให้กับสภาพของถนนที่เราขับผ่านเองโดยอัตโนมัติ ถือเป็นรถยนต์ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างยอดเยี่ยมและเข้ากับยุคสมัยได้เป็นอย่างดี 

การเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้ ภายใต้ชื่อ “เที่ยวข้ามจังหวัด-ค่ำไหนนอนนั่น” เราไม่หยุดอยู่ที่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ด้วยสมรรถนะของ Volvo XC60 ที่เปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติที่ครบถ้วน จึงทำให้เราขับรถเดินทางท่องเที่ยวไปในหลายๆ จังหวัดได้อย่างสนุกสนาน ถึงแม้ว่ารูปร่างภายนอกอาจจะดูเรียบหรูแบบผู้ดี ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะขับแบบลุยๆ ได้ แต่ผิดถนัด เพราะ Volvo XC60 คันนี้ มันได้ทำลายความคิดเก่าๆ ไปอย่างสิ้นเชิง

ขอขอบคุณ บริษัท วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย จำกัด ที่เอื้อเฟื้อรถยนต์ Volvo XC60 Recharge Plug-in Hybrid  รถที่เปี่ยมไปด้วยสมรรถนะและตอบโจทย์กันแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางท่องเที่ยวในทุกสภาพถนน สุดมากๆ บอกเลย