Thursday, September 18, 2025
spot_img
HomeTravelขับรถล่องใต้ พาไปตระเวนเที่ยว “เมืองภูเก็ต” กับ Suzuki New XL7 Hybrid

ขับรถล่องใต้ พาไปตระเวนเที่ยว “เมืองภูเก็ต” กับ Suzuki New XL7 Hybrid

เจอกันอีกแล้ว กับคอลัมน์ท่องเที่ยว Travel Trip ในเว็บไซต์ ครั้งนี้ก็จะพาเดินทางท่องเที่ยวกันแบบยาวๆ ด้วยระยะทางเกือบๆ หนึ่งพันกิโลเมตร ปลายทางของทริปนี้ก็คือ ภูเก็ต โดยครั้งนี้พวกเราได้ยานพาหนะที่เปี่ยมไปด้วยสมรรถนะอย่าง Suzuki New XL7 Hybrid ที่ “ไปไหน ไปกัน ใกล้ ไกล ไปได้หมด” ถ้าสดชื่น

Suzuki New XL7 Hybrid  เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง (MPV) ที่ได้รับการพัฒนาจาก Suzuki Ertiga โดยเพิ่มระบบไฮบริดแบบ Mild-Hybrid เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ รหัส K15B ขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ระบบไฮบริด: Integrated Starter Generator (ISG) ร่วมกับแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนขนาด 12V 10Ah เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า โดยมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 19.2 กม./ลิตร 

การเดินทางล่องใต้ครั้งนี้ เราได้ Suzuki New XL7 Hybrid คันสีส้มสวยเชียว เวลาถ่ายภาพออกมาแล้วให้สีสันสดใสดีจริง ตัวรถมีขนาดใหญ่ กว้างขวาง มีที่วางของด้านท้ายกว้างขวางเอามากๆ สามารถวางกระเป๋าเดินทางและสัมภาระอื่นได้อย่างจุใจ รถคันนี้นั่งได้ 4 คนแบบสบายๆ สำหรับอุปกรณภายในตัวรถก็มีมาให้กันแบบครบๆ ที่จำเป็นต่อการใช้งาน

เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ช่วงสายๆ ของวัน ระยะทางไปยังจังหวัดภูเก็ต ก็เกือบๆ 900 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางก็ 12 ชั่วโมง ถ้าคิดว่าเดินทางกันยาวๆ ก็คงจะไม่ไหวแน่ๆ พวกเราก็เลยแวะนอนครึ่งทางกันที่ชุมพร โดยเข้าพักกันที่ รถไฟรีสอร์ท ซึ่งที่พักแห่งนี้เราใช้พักระหว่างทางกันอยู่เป็นประจำ เป็นที่พักที่มีเอกลักษณ์ ก็คือ การนำเอาโบกี้ของรถไฟจริงๆ มาสร้างเป็นที่พัก ได้บรรยากาศคล้ายๆ เราเดินทางและพักบนขบวนรถไฟ อีกอย่าง ที่พักจะอยู่ติดกับถนนสายหลักที่มุ่งหน้าไปยังภาคใต้ จึงเป็นความะดวกสบาย ตื่นเช้ามาก็ขับรถเลี้ยวเข้าสู่ถนนสายหลัก ขับมุ่งหน้าไปยังภูเก็ตได้เลย 

สำหรับการดินทาง เสียงเพลงก็ถือเป็นสิ่งจำเป็นเอามากๆ ก็เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศในการเดินทาง และช่วยสร้างความเพลิดเพลิน เพลงที่เข้ากับบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวก็ต้องเป็นแนวคันทรี่ การเชื่อมต่อบลูทูธจากสมาร์ทโฟนเข้ากับตัวรถนั้นง่าย สะดวก เสียงที่ได้ก็ถือว่าโอเค มาครบทั้งเบส กลาง แหลม ฟังสบายๆ หรือถ้าใครอยากแต่งเสียงก็สามรถทำได้ ด้วยการเลือกปรับตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นแนวร็อค ป็อบ แจ๊ส คลาสสิค และอีกหลายรูปแบบ หรือจะแต่งเสียงเองที่นอกเหนือจากที่ระบบมีมาให้ เราก็สามารถที่จะปรับและแต่งเสียงได้ด้วยตัวเราเอง 

ระหว่างการเดินทางก็มีแวะพักกันเป็นช่วงๆ ก็มีเข้าห้องน้ำบ้าง รับประทานอาหารบ้าง ที่จำเป็นก็ต้องเป็นกาแฟ อันนี้ก็ขาดกันไม่ได้จริงๆ มันเหมือนเป็นเพื่อคู่การเดินทางอะไรประมาณนั้น ร้านกาแฟหรือปั๊มที่เราเลือกใช้บริการก็คือ ปั๊มพีที ซึ่งเส้นทางที่จะไปยังภาคใต้จะมีปั๊มพีทีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงสะดวกสำหรับนักเดินทางอย่างเราๆ หรือใครหลายๆ คน

เดินทางมาได้สักพักน้ำมันก็เริ่มเหลือน้อย ก็แวะเติมน้ำมันกันที่ปั๊มพีที พร้อมกับสั่งกาแฟกันอีก ก็ดื่มกันได้ทั้งวันกันเลยทีเดียว ก็ประมาณว่าก็ดื่มกันแทนน้ำว่างั้น 5555+ 

พวกเราเดินทางถึงที่รถไฟรีสอร์ท จ.ชุมพร เวลาประมาณหกโมงเย็น ทางเข้าที่พักจะมีโบกี้รถไฟสีเขียวตั้งอยู่เด่นเป็นสง่า มีป้ายที่พักที่เขียนว่า “รถไฟรีสอร์ท” ติดตั้งอยู่ด้านบนโบกี้รถไฟ จอดเช็คอินเสร็จก็ขับเข้าไปยังบริเวณด้านในของที่พัก

เรามองเห็นที่พักที่เป็นโบกี้รถไฟอยู่ทางด้านขวามือ ส่วนที่พักของเราที่จองเอาไว้ก็อยู่ด้านในสุด จอดรถเสร็จก็พากันยกกระเป๋าและสัมภาระเข้าไปยังด้านในห้องพัก ที่พักถือว่าโอเคมาก ที่นอน หมอน ผ้าห่ม สะอาด สะอ้าน ห้องพักจะแยกเป็นสัดส่วนดี ชอบ ชอบ

ภายในห้องก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกมาให้เท่าที่จำเป็น สำหรับมื้อค่ำในวันนี้ พวกเราก็เลยใช้บริการของที่นี่กันซะด้วยเลย เพราะที่รถไฟรีสอร์ทก็มีบริการทั้ง อาหาร เครื่องดื่ม ครบๆ จบในที่เดียวเลย ก็ถือว่าสะดวกสำหรับลูกค้าที่มาพักกันที่นี่ มื้อนี้พวกเราก็เลยจัดกันแบบอิ่มๆ จุกๆ กันเลยทีเดียว สำหรับอาหารของที่นี่ รสชาติและหน้าตาต้องบอกเลยว่าโอเคเอามากๆ อีกอย่าง ก็ชอบรับประทานอาหารใต้กันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว 

เช้าของอีกันหลังจากที่ได้นอนพักผ่อนกันแบบเต็มอิ่ม กินขนมและกาแฟเสร็จก็พากันออกเดินทางกันต่อ จากที่พักไปยังภูเก็ต ระยะทางก็ประมาณหกชั่วโมงกว่าๆ สบายๆ ก็ขับรถและเดินทางกันแบบชิลล์ๆ ถึงตอนไหนก็ตอนนั้น ไม่รีบ ชิลล์กันไปตามประสาท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์

ระหว่างทางก็แวะไปเรื่อย ทั้งเข้าห้องน้ำ ซื้อกาแฟ และกินข้าว เปิดเพลงฟังกันบ้าง สนทนากันบ้าง ก็เพลิดเพลินกันดี ขับรถข้ามสะพานสารสินในช่วงเวลาบ่ายสามโมงนิดๆ ช่วงข้ามสะพานสารสินก็เลยได้บันทึกวิดีโอภาพเคลื่อนไหวเพื่อเอาไว้เป็นความทรงจำ และเป็นที่ระลึกกัน ประมาณนั้น 

สำหรับสะพานสารสินถือเป็นแลนด์มาร์คของภูเก็ตเลยก็ว่าได้ สะพานสารสินเป็นสะพานแห่งแรกที่เชื่อมต่อเกาะภูเก็ตกับจังหวัดพังงา เปิดใช้งานเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2510  โดยชื่อสะพานตั้งตามนามสกุลของนายพจน์ สารสิน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ. สะพานแห่งนี้เคยเป็นเส้นทางหลักในการสัญจร ก่อนที่สะพานใหม่จะถูกสร้างขึ้น และปัจจุบันได้ปรับปรุงให้เป็นสะพานลอยสำหรับคนเดินข้ามและเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ริมทะเล 

อีกหนึ่งประวัติที่คนกล่าวขานกันมาก นั่นก็คือตำนานรักอันโด่งดังของ โกดำ (นายดำ แซ่ลิ้ม) ชายขับรถสองแถวฐานะยากจน และ กิ๋ว (นางสาวกาญจนา แซ่หงอ) นักศึกษาวิทยาลัยครู ซึ่งครอบครัวฝ่ายหญิงไม่เห็นด้วยกับความรักครั้งนี้ จนสุดท้ายทั้งคู่ตัดสินใจใช้ผ้าขาวม้าผูกรัดร่างกระโดดน้ำตายที่กลางสะพานสารสิน เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 เหตุการณ์โศกนาฏกรรมนี้กลายเป็นตำนานที่เล่าขานจนถึงปัจจุบัน และมีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์และเพลง

ขับผ่านสะพานสารสินมาได้ไม่ไกลมากนักก็จะมาเจอกับด่านตรวจคนเข้าเมือง รถทุกคันก็จะต้องถูกตรวจจากทางเจ้าหน้าที่ ก็ถือเป็นการคัดกรองและตรวจตราเพื่อความปลอดภัยอีกระดับหนึ่ง จากนั้นพวกเราก็เดินทางมุ่งหน้าสู่ที่พัก โดยคืนนี้เราจะเข้าพักกันที่ โรงแรมบลูมังกี้ ถนนพังงา พวกเราเดินทางถึงที่พักเวลาประมาณ 4 โมงเย็นพอดี 

ทริปท่องเที่ยวในครั้งนี้ พวกเราจะพักหลายโรงแรม ทั้งในตัวเมือง ป่าตอง และอ่าวมะขาม ก็มีไปรีวิวโรงแรมบ้าง ถ่ายรูปบ้าง แต่คืนนี้ที่มาถึงก็ต้องเลือกพักค้างคืนกันที่นี่ เหตุเพราะพวกเราต้องการไปเดินสร้างภาพและช้อปกันที่ถนนคนเดินหลาดใหญ่ หรือ Phuket Old Town ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยว หรือแลนด์มาร์คของจังหวัดภูเก็ต

สำหรับที่พักที่นี่ เราเคยมาพักกันหลายครั้งมาก เป็นโรงแรมที่ตอบโจทย์ให้กับลูกค้าได้แบบครบๆ สะดวก สบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบเท่าที่จำเป็น เป็นโรงแรมที่มีชื่ออันดับต้นๆ ของภูเก็ต ขึ้นชื่อในเรื่องของที่นอน ที่เมื่อนอนแล้วก็ไม่อยากจะตื่น หรืออยากจะลุกขึ้นไปไหน อยากนอนทั้งวัน เพราะเตียงนอนที่ดูดวิญญาณ จนได้ชื่อว่า เป็น “เตียงนอนดูดวิญญาณ” นั่นเอง

จริงๆ แล้ว ที่โรงแรมบลูมังกี้ เว็บไซต์ joinalifethailand.com ได้มาทำการรีวิวแล้วเมื่อหลายปีก่อนหน้านั้น หลังจากนั้น เวลามาเที่ยที่ภูเก็ตก็จะเลือกพักกันที่นี่อยู่เสมอๆ ที่สำคัญ เป็นโรงแรมที่อยู่กลางใจเมืองภูเก็ต จะไปเที่ยวที่ไหนก็สะดวก ทั้งอาหารการกิน คาเฟ่ หรือแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ในตัวเมือง เราจะทำการพักกันที่นี่สองคืน หลังจากนั้นก็จะทำการย้ายไปพักกันที่อื่นอีกหลายโรงแรม

สำหรับมื้อค่ำในคืนนี้ พวกเราเลือกร้านอาหารปลาหมอสี ที่ขึ้นชื่อเรื่องเมนู “ไก่แป๊ะซะ” มาภูเก็ตทุกครั้งก็จะไม่เคยพลาดที่จะแวะรับประทานอาหารของร้านนี้เลย อาหารรสชาติดี ราคาไม่แพง นักท่องเที่ยวและคนพื้นที่ก็จะลือกใช้บริการอยู่ตลอดเวลา ร้านนี้อร่อยแนะนำเลย เรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องเดียวกันอยู่แล้ว ว่ามั้ย?

กินอาหารกันอิ่มแล้วก็เดินทางกลับเข้าที่พักเพื่อทำการพักผ่อน พรุ่งนี้ก็นัดกันว่าจะเดินทางไปที่สะพานหินเพื่อไปกินขนมจีนปูกะตอย ที่ร้าน “ขนมจีนสะพานหิน) ขับรถ Suzuki New XL7 Hybrid  วนสร้างภาพสัก 2-3 รอบ กับวงเวีบนหอย (เครื่องมือขุดแร่) พอได้ภาพสวยๆ ของรถ

เช้าของอีกวัน : วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันที่มีถนนคนเดินหลาดใหญ่ (Phuket Old Town) ช่วงสายๆ ก็พากันออกเดินทางไปกินขนมจีนที่สะพานหินอีกครั้ง จากที่พักก็ใช้เวลาเดินทางไม่นานมาก ไปถึงก็จัดเมนูเด็ดของร้าน “ขนมจีนปูกะตอย” ของชอบ ตามด้วย “ห่อหมกภูเก็ต” ที่นึ่งพอสุก กินพร้อมกับผักที่จัดกันมาเป็นกระบะ ขาดไม่ได้ก็ “ปลาจิ้งจั้ง” เป็นปลาตัวเล็กๆ คล้ายๆ ปลาซิว รสชาติเค็มเล็กน้อยเพราะเป็นปลาทะเล

จานเดียวไม่สาแก่ใจ ผมเลยจัดมาเพิ่มอีกหนึ่งสำหรับเมนู “ขนมจีนปูกะตอย” อิ่มจากขนมจีนแล้วก็ต้องไปต่อที่ร้านกาแฟ เราเลือกที่จะเดินทางงไปั่งจิบกาแฟชิลล์ๆ และสร้างภาพเล่นกันที่ Sound Gallery ซึ่งมีร้านกาแฟและขนมเค้กรสชาติดีไว้คอยบริการ 

Sound Gallery เป็นที่พักรูปแบบบูติกโฮเทลที่มีธีมเกี่ยวกับดนตรีและสวน มีทั้งห้องพักส่วนตัวและห้องพักรวม (Dormitory) และมีคาเฟ่กับบาร์ ร้านกาแฟจะอยู่ด้านล่างของที่พัก ที่นี่จะตกแต่งไปด้วยของเก่าวินเทจ มีมุมสร้างภาพมากมาย

เราจึงดื่มด่ำไปกับรสชาติของกาแฟ และเพลิดเพลินไปกับการสร้างภาพ ก็ใช้เวลาอยู่กันที่นี่ร่วมๆ ชั่วโมงกันทีเดียว ออกจากร้านกาแฟก็ขับรถพากันไปเดินเล่นถ่ายรูปกันที่บริเวณหอนาฬิกา ก่อนที่จะไปเดินกันต่อที่ ถนนคนเดินหลาดใหญ่ (Phuket Old Town)

เดินทางถึง “ถนนคนเดินหลาดใหญ่” ช่วงเย็นๆ แดดร่มลมตกอากาศกำลังเย็นสบายๆ วันนี้เป็นวันอาทิตย์เสียด้วย นักท่องเที่ยวที่จะมาเดินที่ถนนคนเดินคงจะมีจำนวนมาก ที่นี่ ถนนคนเดินหลาดใหญ่ จะมีเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น

ถนนคนเดินหลาดใหญ่ (Phuket Old Town) จะมีทั้งของกินที่หลายหลาย ส่วนมากก็จะเป็นของกินพื้นเมืองเสียส่วนใหญ่ ก็มีของกินอย่างอื่นปะปนคะเคล้ากันอยู่บ้าง นอกนั้นก็จะมีของขายอย่างอื่น  รวมไปถึงมีมุมรับจ้างวาดรูปอีกด้วย พวกเราก็เดินช้อปและสร้างภาพกันเพลินเลย 

เดินเล่นและสร้างภาพไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอกับร้านที่ชอบ ร้านขายเทปคาสเซ็ท และเครื่องเล่นเทป ว้าวเลยสิ ร้านนี้ก็เลยแวะอยู่นาน เพราะเป็นของชอบ ยิ่งได้เจอกับคนขายที่คุยกันถูกคอ คุยในเรื่องที่ชอบเหมือนกัน ก็เพลินสิครับ ก็มีขอไลน์และขอเป็นเพื่อกันในเฟสบุ้คอีกด้วย เอาไว้คุยภาษาเดียวกัน ใช้เวลาเดินกันที่ถนนคนเดินหลาดใหญ่น่าจะประมาณ 2 ชั่วโมง ก็พากันเดินทางกลับที่พักด้วยยานพาหนะคู่การเดินทาง Suzuki New XL7 Hybrid

สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภูเก็ตในครั้งนี้ นอกจากจะได้พักตามโรงแรมต่างๆ หลายๆ โรงแรมแล้ว พวกเราก็ได้เดินทางไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ กันหลายที่ แต่ที่แน่ๆ ที่จะไปสร้างภาพกับรถ Suzuki New XL7 Hybrid ก็ต้องที่ อุโมงค์ต้นยางพาราบ้านหยิด  หรือบางครั้งเรียกว่า อุโมงค์ป่ายาง เป็นจุดเช็คอินธรรมชาติที่สวยงามในอำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เกิดจากแนวต้นยางพาราที่ปลูกเรียงรายสองข้างถนน จนเกิดเป็นภาพอุโมงค์ธรรมชาติที่ผู้คนนิยมไปถ่ายรูปและเช็คอินกัน

ระยะทางจากตัวเมืองภูเก็ตไปยังอุโมงค์ต้านยาง ประมาณ 40 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 40 นาทีเพื่อให้ได้ภาพสวนๆ ที่ต้องการ ระยะทางเพียงแค่นี้ถือว่าจิ๊บๆ เอ่อ! แต่ว่าภาพที่ได้ มันสวยจริงๆ นะ ทั้งภาพรถวิ่ง และภาพนางแบบ และนายแบบ มืออาชีพทั้งน้าน

สถานที่อึกหนึ่งจุดที่เราเดินทางไปสร้างภาพเช็คอิน ก็คือ อนุสรณ์สถานถลางชนะศึก ซึ่งระยะทางจากตัวเมืองภูเก็ต ไปยัง อนุสรณ์สถานถลางชนะศึก ก็ประมาณ 24 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเพียง 30 นาทีก็ถึง

สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ค่อยมีคนรูจักมากนัก อาจจะเป็นเพราะการประชาสัมพันธ์ไม่ดีพอ มีเฉพาะนักท่องเที่ยวบางกลุ่มหรือคนในพื้นที่เท่านั้นที่รู้จัก แต่พวกเราก็ไม่พลาด เพราะถือว่า ที่ อนุสรณ์สถานถลางชนะศึก เป็นอนุสรณ์สถานในประวัติศาสตร์ที่สำคัญของเมืองถลาง จ.ภูเก็ต 

อนุสรณ์สถานถลางชนะศึก (ปัจจุบันเรียกว่า อนุสรณ์สถานเมืองถลาง) ตั้งอยู่บนพื้นที่สมรภูมิที่ชาวถลางต่อสู้กับกองทัพพม่าจนได้รับชัยชนะในวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2328 ซึ่งนำโดยวีรสตรีท้าวเทพกระษัตรี (คุณหญิงจัน) และท้าวศรีสุนทร (คุณหญิงมุก) เพื่อรำลึกถึงวีรกรรมครั้งประวัติศาสตร์นี้ จึงได้ก่อสร้างประติมากรรมอนุสาวรีย์วีรชน 9 ท่านขึ้น เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจถึงความกล้าหาญในการปกป้องแผ่นดิน

นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว ร้านกาแฟ หรือ คาเฟ่ ที่อยากแนะนำ ก็คือ Pigko ซึ่งตั้งอยู่ที่สะพานหิน เป็นร้านกาแฟน่ารักๆ บริเวณร้านปกคลุมไปด้วยต้นไม้ ดูแล้วสดชื่น ภายในบริเวณก็มีมุมให้เลือกนั่งทั้งภายในร้านและนอกร้าน พวกเราเลือกนั่งในร้านที่มีน้องมาดี ที่คนวาดชื่อ Alex Face หรือชื่อจริงคือ พัชรพล แตงรื่น ซึ่งเป็นศิลปินกราฟิตี้ชื่อดังชาวไทยที่มีผลงานเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก โดยน้องมาร์ดีคือตัวการ์ตูนหนูน้อยสามตาที่เป็นสัญลักษณ์ของเขา 

มาร้านนี้ก็ต้องสั่งเมนู ขนมปังสังขยา ขนมปังยกมาเสิร์ฟแบบร้อนๆ พร้อมกับสังขยา ขนมปังกรอบนอกนุ่มใน หยิบขึ้นมาจิ้มสังขยาแล้วเอาเข้าไปในปากเพื่อลิ้มรส ร้องว้าวเลย อร่อยจริงครับเมนูนี้ สังขยารสชาติดี ไม่หวานมาก ทำด้วยไข่ล้วนๆ รสชาติของกาอฟและเครื่องดื่มเมนูอื่นก็รสชาติดี แถมราคาก็ยังเป็นมิตรอีกด้วย ร้านนี้แนะนำเลย ถ้าไปภูเก็ตก็อย่าลืมแวะไปจัดขนมจีนปูกะตอย และก็เดินมาต่อที่ร้าน Pigko รับรองไม่ผิดหวัง

ใครที่เป็นสายโรตีต้องร้านนี่เลย Romadon Art & Studio เป็นร้านที่อยู่แถวบ้านไสยวน ระยะทางจากตัวเมืองไปยังร้านก็ประมาณ 10 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 20 นาที ที่ร้านมีเอกบักษณ์และสไตล์เฉพาะตัว เจ้าของจบจากศิลปากร เป็นร้านที่ตกแต่งแบบอาร์ตๆ ง่ายๆ โดดเด่นไม่เหมือนใคร ภายในร้านตกแต่งด้วยภาพวาดสีอะคริลิค ประดับและแขวนอยู่ภายในร้าน ช่วยสร้างสีสันในเวลาที่เราถ่ายรูป

เมนูเด่นของร้านก็ต้องนี่เลย ชาปากีโรตี  ซึ่งแต่ละวันจะทำเพียงแค่ 29 ลูกเท่านั้น ตามมาด้วยเมนูโรตีน้ำแกง, โรตีมะตะบะ, ชีสงู, โรตีใส่กล้วย (ใส่ไข่), เครื่องดื่มก็จะมี ชาช้า (ชาปากี), ชามืด (ชาดำเย็น)โกโก้, ชาเหลือง + น้ำเงิน (ชาเขียว) และกาแฟคั่วสด (กาแฟคั่วเอง)

พวกเราก็สั่งกันแบบเกือบจะครบทุกเมนู บางเมนูก็มีสั่งมากินซ้ำ อย่างเมนู โรตีมะตะบะ มื้อนี้ก็เลยจัดไปแบบอิ่มๆ จุกๆ ใครมาภูเก็ตก็แนะนำร้านนี้เลย ไปไม่ถูกเดี๋ยวปักหมุดให้ รับรองไม่ผิดหวัง อ๋อ! ลืมบอกไปว่า ชาปากีโรตี  มีแค่ 29 ลูกเท่านั้นนะ อยากกินก็ต้องไปจองตั้งแต่คิวแรกๆ เชื่อผม

พวกเราใช้ชีวิตที่ภูเก็ต ทั้งตระเวนเที่ยว ตระเวนกิน และสร้างภาพเป็นเวลาหลายวัน การเดินทางด้วย Suzuki New XL7 Hybrid ถือว่าตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงของตัวรถ ที่สามารถนั่งได้หลายคน รวมไปถึงสัมภาระที่มีพื้นที่เพียงพอ รูปลักษณ์ภายนอกดูสวย ลงตัว ยิ่งเป็นสีส้มที่เราใช้ด้วยแล้ว โดดเด่น สีสัน ชวนมอง ห้องโดยสารภายในดูโอ่อ่า กว้างขวาง มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกและฟีเจอร์ให้เราเลือกใช้ การเชื่อมต่อบลูทูธเวลาฟังเพลงสะดวก เชื่อมต่อได้รวดเร็ว เสียงที่ได้ฟังจากลำโพงของตัวรถถือว่าอยู่ในระดับเป็นที่น่าพอใจ มาพร้อมกับเท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charger) ที่คอนโซลด้านหน้า เบาะโดยสารด้านหลังคนขับกว้างขวาง นั่งสบาย แอร์เย็นฉ่ำ พร้อมแยกอิสระสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง

Suzuki New XL7 Hybrid เป็นรถ Crossover 7 ที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยระบบ Mild Hybrid ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ ISG และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันและกำลัง ราคาอย่างเป็นทางการเริ่มต้นที่ 799,000 บาท พร้อมแคมเปญโปรโมชันพิเศษในช่วงเปิดตัว

จุดเด่นของ Suzuki New XL7 Hybrid

  • ระบบ Mild Hybrid : เทคโนโลยี SMART HYBRID VEHICLE (SHVS) ที่ผสานเครื่องยนต์ K15B กับ Integrated Starter Generator (ISG) และแบตเตอรี่ Lithium-ion 12V 10Ah ช่วยเพิ่มกำลังและประหยัดน้ำมัน
  • ดีไซน์ “Multi-Dynamic Crossover” : ผสานเอกลักษณ์ของรถ SUV และ MPV ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัย เน้นการใช้งานที่หลากหลายพร้อมลุยได้ทุกเส้นทาง 
  • ห้องโดยสารกว้างขวาง : เป็นรถ 7 ที่นั่ง ที่เน้นพื้นที่ภายในกว้างขวาง สามารถนั่งได้จริงทั้ง 3 แถว พร้อมระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง 
  • สมรรถนะและช่วงล่าง : ใช้แพลตฟอร์ม HEARTECT ที่ให้ความแข็งแรงและความปลอดภัย พร้อมระบบช่วงล่างที่รองรับการขับขี่ทั้งทางเรียบและทางฝุ่น 
  • ความทนทานและค่าบำรุงรักษา : โครงสร้างตัวถังทำจากเหล็กกล้า TECT น้ำหนักเบาแต่แข็งแรง ทนทาน ใช้งานง่าย และมีค่าบำรุงรักษาที่สมเหตุสมผล 
  • ความคุ้มค่า : เป็นรถ 7 ที่นั่ง ที่มอบความคุ้มค่าด้วยราคาที่เข้าถึงง่าย ผ่อนสบาย พร้อมกับโปรโมชันและแคมเปญพิเศษ

ครั้งนี้ก็ต้องขอขอบคุณ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อยานพาหนะ Suzuki New XL7 Hybrid สำหรับทริป…ขับรถล่องใต้ พาไปตระเวนเที่ยวภูเก็ตกันแบบยาวๆ ด้วยนะครับ

RELATED ARTICLES

Most Popular