• Homepage
  • >
  • Trevel Trip
  • >
  • เชียงคานไม่ได้มีแค่ “ถนนคนเดิน…นะ”

เชียงคานไม่ได้มีแค่ “ถนนคนเดิน…นะ”

  เมื่อพูดถึงเชียงคาน นักท่องเที่ยวหลายๆ คนก็คงจะนึกถึง “ถนนคนเดินเชียงคาน” เท่านั้น แต่ยังไม่มีใครที่ไปเที่ยวแล้วออกมาบอกว่า ที่เชียงคานนั้นมันไม่ได้มีเพียงแค่ถนนคนเดินเพียงอย่างเดียวนะ มันเลยทำให้นักท่องเที่ยวหลายๆ คนไม่คิดที่อยากจะไป และในครั้งนี้ พวกเราเลยตั้งใจจะไปเที่ยวที่เชียงคานกัน เพื่อที่จะได้นำเอาเรื่องราวและแหล่งท่องเที่ยว ที่ไม่ได้มีเพียงแค่ถนนคนเดินมาบอกเล่าให้ได้รู้กัน

       

    การเดินทางไปเชียงคานจังหวัดเลยในครั้งนี้ พวกเราได้ยานพาหนะที่เต็มเปี่ยมและอัดแน่นไปด้วยสมรรถนะอย่าง Ford Everest 2.2 Titanium Plus เป็นเพื่อนคู่การเดินทาง รถคันที่ได้มาเป็นสีขาวดูสะอาดตา รูปโฉมภายนอกโอ่อ่าสวยงาม ภายในห้องผู้โดยสารกว้างขวางหรูหราเช่นกัน มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้มาอย่างครบถ้วน รวมไปถึงอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อโลกโซเชี่ยลก็ให้มาแบบสมบูรณ์แบบ ที่สำคัญออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างง่ายดาย

    เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ก็ประมาณช่วงห้าโมงเย็น เพราะเราไม่ต้องการที่จะขับยาวไปยังเชียงคานแบบม้วนเดียวจบ มันหักโหมและเหนื่อยจนเกินไป เพราะระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงคานก็เกือบๆ 600 กิโลเมตร จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมงได้ ถือว่าเอาเรื่องอยู่พอสมควร ดังนั้นพวกเราก็เลยค่อยๆ ขับ ค่อยๆ ไป กันแบบชิลล์ๆ กันดีกว่า

       

       

    พวกเราเดินทางถึงเชียงคานเมื่อตอนพลบค่ำของอีกวัน  ก็ขับกันไปแบบเพลินๆ ไม่เร่งรีบมากนัก ถึงแม้ว่าเราจะได้รถที่มีสมรรถนะทีดีเยี่ยมอย่าง Ford Everest ก็ตาม ความเร็วที่ใช้ก็อยู่ที่ประมาณ 80-100 กม./ชม. เท่านั้นเอง มีบางครั้งที่ถนเป็นทางตรงก็อาจจะมีเร่งความเร็วไปถึง 120 กม./ชม.

       

    เสียงทักทายกับเพื่อนที่เป็นเจ้าของเกสต์เฮาส์ “แม่น้ำมีแก่ง” ดังขึ้นด้วยความดีใจ หลังจากนั้นก็พากันยกกระเป๋าสัมภาระเดินหายเข้าไปด้านในที่พัก ปิดประตูพร้อมกับทำการล็อครถแล้วก็เดินเข้าไปนั่งพูดคุยสนทนากัน ค่ำคืนนี้เราสามคนจะพักค้างคืนกันที่เกสต์เฮาส์ของเพื่อน

       

    แสงสุดท้ายลาลับไปนานมากแล้ว แสงไฟตามถนนของเชียงคานในเวลานี้เปิดส่องสว่างขึ้น ผู้คนในค่ำคืนนี้ยังมีไม่มากนัก อาจเป็นเพราะว่ายังไม่ใช่วันหยุด พวกเราทั้งหมดสี่คนนั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน ไถ่ถามเรื่องราวต่างๆ มากมาย เพราะเราไม่ได้เจอกันมานานหลายปีเหมือนกัน

    สำหรับเกสต์เฮาส์ “แม่น้ำมีแก่ง” ถือเป็นอีกหนึ่งที่พักที่แนะนำได้เลย ตัวอาคารที่พักทั้งหลังจะเป็นสีขาวออกควันบุหรี่ ตกแต่งสไตล์วินเทจเรโทร ของตกแต่งก็จะออกแนวอาร์ตๆ มีภาพถ่ายของเพื่อนที่เป็นเจ้าของเกสต์เฮาส์จำนวนหลายภาพ ถูกใส่กรอบนำไปแขวนตกแต่งไว้เพื่อบอกเล่าเรื่องราวอย่างลงตัว มีมุมเล็กๆ ให้นั่งจิบกาแฟหรือนั่งเขียนหนังสืออยู่หลายมุม ที่นี่นอกจากจะมีที่พักไว้บริการนักท่องเที่ยวแล้ว ยังมีของที่ระลึกไม่ว่าจะเป็นโปสการ์ด เสื้อผ้า และอื่นเล็กๆ น้อยๆ ไว้จำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวอีกด้วย

       

    พวกเราทั้งสี่คนนั่งคุยกันอยู่นานมากพอสมควร จิบเบียร์ไป ก็คุยกันไปแบบเพลินๆ เหน็ดหเนื่อยกับเดินทางมาก็พอสมควร หลังจากนั้นก็ได้เวลาเข้าห้องพักของตัวเองที่อยู่ชั้นบน คืนนี้ก็คงไม่มีอะไรมากนัก หลังจากอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวกันแล้ว ก็ออกไปหาอาหารอร่อยๆ ที่เชียงคานรับประทานกันในมื้อค่ำ เดินเล่นตามถนนคนเดินเพื่อย่อยอาหารกันเสร็จก็เข้าห้องพักกัน คืนนี้ก็ขอนอนพักผ่อนเพื่อเก็บพลังงานเอาไว้เที่ยวในวันรุ่งเช้ากันต่อไป

    สนใจติดต่อขอจองห้องพักได้ที่เบอร์โทร 081-824-4274  
.

………………The End………………
.
.
.

 

    รุ่งเช้าของอีกวันในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส พวกเรานัดรวมตัวกันที่ชั้นล่างกันพร้อใหน้าพร้อมตา วันนี้เพื่อนโด่งจะขับเจ้า Ford Everest พาพวกเราเดินทางไปเที่ยวยังพระใหญ่เพื่อไหว้พระกัน ก็บอกแล้วตั้งแต่เริ่มต้นว่าที่เชียงคานไม่ได้มีเพียงแค่ถนนคนเดินเท่านั้น

       

    เมื่อสมาชิกพร้อมก็เริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เป้าหมายยังพระใหญ่ในช่วงสายๆ ของวัน จากเชียงคานถึงพระใหญ่ก็ใช้เวลาประมาณเพียงแค่ 45 นาทีเท่านั้นเอง ก็ไม่ไกลจากตัวเชียงคานมากนัก ถนนหนทางก็ถือได้ว่าดีระดับหนึ่ง บางช่วงก็จะเจอกับถนนลูกรังบ้าง แต่ส่วนมากก็จะเป็นทางลาดยางซะส่วนมาก สองข้างทางก็จัดได้ว่ายังคงความเป็นธรรมชาติเอามากๆ ขับผ่านแปลงนาข้าวของชาวบ้าน ที่ตอนนี้กำลังเขียวขจีสร้างความสดชื่นระหว่งาการเดินทางได้เป็นอย่างดี บางช่วงก็จะขับผ่านสะพานข้ามแม่น้ำ ซึ่งที่บริเวณขอสะพานก็จะมีชาวบ้านขับรถมอเตอร์ไซต์มาจอด้พื่อตกเบ็ดหาปลากัน

       

    ขับมาได้ไม่นานก็จะเจอกับป้ายพระใหญ่ตรงบริเวณทางแยก ระยะทางที่บ่งบอกว่ายังคงเหลืออีกเพียงแค่ 1 กิโลเมตรก็จะถึงแล้ว ขับรถไปตามทางลาดยางเรื่อยๆ ได้ไม่นาน รถคันของพวกเราก็เลี้ยวเข้าไปจอดยังบริเวณทางเข้าช่วงบ่ายสามโมงกว่าๆ ของเย็นโดยประมาณ

       

    จอดรถเสร็จก็พากันเดินเข้าไปยังบริเวณพระใหญ่กัน วันนี้ก็มีแต่พวกเราเท่านั้นเองที่มาเที่ยว อาจจะเป็นเพราะยังไม่เป็นที่รู้จักก็เป็นได้ อีกอย่างการมาเที่ยวที่เชียงคานนั้น คนส่วนมากก็จะรู้จักแต่เพียงถนนคนเดินเท่านั้นเอง วันนี้พวกเราก็เลยได้ไหว้พระพร้อมกับเดินเที่ยวชมรอบๆ บริเวณกันอย่างที่ไม่มีใครมาคอยรบกวน ซะงั้น

       

    สำหรับพระใหญ่ ถือเป็นพระที่สร้างขึ้นมาได้อย่างสวยงาม เป็นพระพุทธรูปปางลีลาประทานพร หล่อด้วยไฟเบอร์ผสมด้วยเรซิ่นสีทองที่เหลืองอร่ามงามตาในยามที่ต้องแสงแดด พระใหญ่ตั้งอยู่ที่ภูคกงิ้ว หมู่ 4 บ้านท่าดีหมี ตำบลปากตม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย พระใหญ่ภูคกงิ้วจะมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พระพุทธนวมินทรมงคลลีลาทวินคราภิรักษ์ แต่ชาวบ้านก็ยังคงเรียกชื่อพระใหญ่ภูคกงิ้ว หรือเรียกสั้นเพียงแค่พระใหญ่เท่านั้นเอง

    บริเวณที่ตั้งพระใหญ่ นักท่องเที่ยวหรือคนที่ขึ้นไปไหว้พระ จะสามารถมองเห็นแม่น้ำเหืองที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง ชาวบ้านจึงเรียกที่นี่ว่า “ปากแม่น้ำเหือง” ด้านหน้าของพระประธานจะหันไปยังฝั่งประเทศลาว ซึ่งเราสามารถมองเห็นฝั่งลาวได้อย่างชัดเจน างครั้งก็จะมองเห็นเรือชาวบ้านล่องไปตามแม่น้ำเพื่อหาปลากัน สำหรับบริเวณรอบๆ พระใหญ่ก็มีเนื้อที่ไม่กว้างมาก ใช้เวลาเดินชมรอบๆ ไม่ถึงครึ่งชัวโมงก็เสร็จ หลังจากที่ได้ไวหพระเพื่อเป็นสิริมงคลพร้อมกับถ่ายรูปสร้างภาพกันแล้วก็ได้เวลาเดินทางกลับ

       

    พระใหญ่ภูคกงิ้ว เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พระพุทธนวมินทรมงคลลีลาทวินคราภิรักษ์ ตั้งอยู่ที่ภูคกงิ้ว บ้านท่าดีหมี ตำบลปากตม ประดิษฐานอยู่บนเนินเขาบริเวณปากลำน้ำเหืองจรดกับแม่น้ำโขง เป็นพระพุทธรูปปางลีลาประทานพร หล่อด้วยไฟเบอร์ผสมเรซิ่นสีทองทั้งองค์ สูง 19 เมตร ตัวฐานกว้าง 7.2 เมตร สร้างขึ้นโดยกองทัพภาคที่ 2 และประชาชน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครบ 6 รอบ และในมหามงคลแห่งราชพิธีราชาภิเษกครบ 50 ปี

    พิกัดการเดินทาง : ภูพระใหญ่

………………The End………………
.
.
.

 

    เช้าของวันอาทิตย์อีกวัน  วันนี้เพื่อนโด่งคุยกันตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะพาไปเที่ยวอีกหนึ่งสถานที่ที่คนยังไม่เคยรู้จัก นั่นก็คือ “ศูนย์วัฒนธรรมไทดำ” พวกเราก็เลยถามด้วยน้ำเสียงเหมือนตกใจเล็กน้อยว่า ที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่นอกเหนือจากถนนคนเดินอีกเหรอ เพื่อก็เลยบอกว่าใช่ และก็ยังมีอีกหลายแห่งเลยก็ว่าได้ เอาไว้ครั้งหน้าจะพาไปเที่ยวให้ทั่วเลย พวกเราก็เลยตอบตกลงด้วยเสียงที่พูดขึ้นเกือบจะพร้อมๆ กัน

       
     จากที่พักที่แม่น้ำมีแก่ง  เพื่ออาสาขับรถเองเพื่อพาพวกเราเดินทางไปยังสถานที่ว่านี้ ระยะทางจากตัวเชียงคานไปยังศูนย์วัฒนธรรมไทดำประมาณ 17 กิโลเมตร ก็ถือว่าไม่ไกลมากนัก้าคิดจะไปเที่ยว ว่ามั้ย? ก็ขับผ่านหมู่บ้าน ผ่านทุ่งนาข้าวไปเรื่อยๆ ถนนหนทางก็ถือว่าโอเครในระดับหนึ่ง อากาศค่อนข้างจะร้อนพอสมควร แต่พวกเรานั่งรถ Ford Everest ที่จัดได้ว่าเป็นรถที่แอร์เย็นฉ่ำที่สุดใรบรรดารถยนต์ทั่วๆ ไป น่าน ขอเชียร์นิดนึงนะ  ขับไปใกล้ๆ จะถึงก็จะมีป้ายบอกให้เห็นอยู่ พวกเราขับถึงศูนย์วัฒนธรรมไทดำเกือบๆห้าโมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่แดดร่มลมตกพอดี
       
     ศูนย์วัฒนธรรมไทดำหรือหมู่บ้านไทดำ ตั้งอยู่ที่บ้านนาป่าหนาด ตำบลเขาแก้ว อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลยแต่เดิมชาวไทดำอพยพมาจากเมืองเชียงขวาง ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2448 โดยได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่รวมกันที่บ้านนาป่าหนาด และในปัจจุบันยังมีการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทดำ มีบ้านที่สร้างขึ้นตามแบบเอกลักษณ์ดั้งเดิมของชาวไทดำ รวมทั้งเครื่องใช้ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในอดีต และยังมีการรวมกลุ่มทอผ้าพื้นเมืองของชาวบ้าน
 
       

    พวกเราเดินเข้าไปชมยังบริเวณภายในศูนย์ฯ ซึ่งชาวบ้านไทดำกำลังทอผ้าอยู่ใต้ถุนบ้าน มองเห็นกรอได้ตางสีที่วางอยู่สวงยงาม เส้นด้ายขึงเป็นทางอย่างเป็นระเบียบ ก็ยังแปลกใจอยู่ว่ามันจะถูกทอให้เป็นลายต่างๆ นาๆ ได้อย่างไร อันนี้แอบงงอยู่เหมือน แต่ก็ช่างมันเถอะ มันคือสิ่งมหัศจรรย์ที่เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านหละ เอาเป็นว่าทอออกมาสวยก็แล้วกัน เราเดินชมไปพร้อมกับคุยทักทายชาวบ้านกันไป ที่นี่ก็จะพูดภาษาไทยนั่นแหละ แต่ภาษาเขียนนี่นะสิ พวกเราอ่านกันไม่ออกเลย มึนหัวไปหมด มันเป็นภาษาเขียนโดยเฉพาะของชาวไทดำเท่านั้นเอง ก็ได้แต่เดาๆ กันไป ถูกบ้าง ผิดบ้าง ก็อะนะ

       

    บ้านเรือนและการแต่งตัวรวมไปถึงเครื่องถักทอ ดูแล้วก็คล้ายๆ กับชาวเขาในทางภาคเหนือ หลังคาบ้านจะมุงด้วยหญ้าแฝก ด้านบนหลังคาที่เป็นจั่วก็จะทำเป็นไม้กาแล อันนี้คล้ายๆ ทางภาคเหนือ ผมคิดว่านะ

       

    พวกเราเดินชมรอบๆ ศูนย์วัฒนธรรมไทดำร่วมๆ ครึ่งชั่วโมง การเดินทางไปเที่ยวต่อยังบ้านพิพิธภัณฑ์ไทดำที่อยู่ใกล้ๆ กันก็เริ่มขึ้น ใช้เวลาได้ไม่นานมากนักก็ถึงที่หมาย บรรยากในยามนี้ดูเงียบสงบ อากาศในยามนี้มันเหมาะกับการเดินชื่นชมของสถานที่ได้เป็นอย่างดี สถานที่แห่งนี้มีเนื้อที่ไม่มากนัก สร้างขึ้นมาเป็นศูนย์เรียนรู้และวางโชว์สิ่งของเครื่องใช้ รวมไปถึงการจำหน่ายของที่ระลึกและของกินของใช้ให้กับนักท่องเที่ยวที่แวะมาเยี่ยมเยือน มีอุปกรณ์ทำการเกษตรหลากหลายชนิดแขวนอยู่ตามยุ้งข้าว มีเกวียนที่ใช้งานวางอยู่ด้วย บรรยากาศก็ดูเป็นกันเองแบบเงียบๆ  ตามวิถีชาวไทดำ

       

       

    เดินช้อปของที่ระลึกติดไม้ติดมือกันไปเล็กๆ น้อยๆ กันพอประมาณ เมื่อเดินอ้อมไปทางด้านหลังก็จะเจอกับที่พักที่เป็นโฮมสเตย์ โดยคิดค่าบริการต่อคืนพร้อมกับอาหารสองมื้อ คนละ 4-5 ร้อยเท่านั้นเอง บริเวณโอมสเตย์จะอยู่ติดกับผืนนาข้าวของชาวไทดำ พื้นนาสีเขียวมองไปจนสุดตาโดยมีฉากหลังเป็นภูเขา ดูแล้วเหมือนภาพวาดจริงๆ ยิ่งเมื่อเราถ่ายภาพตอนเย็นๆ ที่ท้องฟ้าไม่มีเมฆด้วยแล้ว งดงามมากๆ บอกเลย

       

    จากที่พักแล้วเดินอ้อมไปทางด้านขวาก็จะไปเจอกับกังหันวิดน้ำ อันนี้ชาวไทดำเอาไว้ผันน้ำเข้านาข้าว ที่บริเวณพวกเราเลยถือโอกาสถ่ายรูปสร้างภาพกันซะด้วยเลย ก็มันหาดูได้ยากนี่ครับจะรออะไร พวกเราใช้เวลาอยู่ที่บ้านพิพิธภัณฑ์ไทดำเพียงแค่ 20 นาทีก็ได้เวลาเดินทางกลับที่พักที่อยู่ที่เชียงคาน

    เป็นอันว่าภารกิจการนำเที่ยวของเพื่อเสร็จสิ้นลง ท่ามกลางบรรยากาศในตอนเย็นๆ ที่กำลังสดชื่น วันนี้ก็ถือได้ว่าพวกเราได้มาแวะเที่ยวยังสถานที่ที่นักท่องเที่ยวหลายๆ คนยังไม่ได้รู้จัก ก็ต้องขอบคุณเพื่อนโด่งที่พาพวกเราได้มาเที่ยวและได้รู้จักกับชาวบ้านไทดำ ได้เรียนรู้ ได้ศึกษา รวมไปถึงวิถีชีวิตและความเป็นของชาวไทดำ ทริปนี้นอกจากจะได้เที่ยวแล้ว ยังได้ความรู้เยอะเลย

    พิกัดการเดินทาง : ศูนย์วัฒนธรรมไทดำ
.

………………The End………………
.
.
.


 

    มาเที่ยวเชียงถ้าไม่ได้ใส่บาตรข้าวเหนียวในตอนเช้าแล้ว เขาว่ามาไม่ถึงเชียงคานนะ ประโยคนี้แหละมันช่างท้าทายอย่างบอกไม่ถูกสำหรับเราสองคน ไปเที่ยวครั้งนั้นเราสองคนเลยตั้งใจที่จะตื่นเช้ามาเพื่อใส่บาตรกัน

       

    เสียงนาฬิกาจากสมาร์ทโฟนดังขึ้นเมื่อตอนตีสี่ของเช้าวันใหม่ ล้างหน้าล้างตาพร้อมกับแต่งตัวกันเสร็จก็เดินลงมารอพระอยู่ที่ถนนหน้าที่พัก ท้องฟ้าสีส้มๆ เริ่มชัดขึ้นพร้อมๆ กับแสงสว่าง มองลงมาจากระเบียงด้านบนของที่พัก จะเห็นผู้คนปูเสื่อนั่งรอพร้อมของที่จะใส่บาตร เราสองคนก็รีบไปจองที่เอาไว้เหมือนกันเพื่อรอพระมาบิณฑบาต

       

    ผู้คนในยามเช้าตรู่นี้มีจำนวนไม่มากนัก มองไปทางด้านถนนคนเดินไกลๆ เริ่มเห็นพระที่ห่มจีวรสีเหลืองส้มเดินมาเรื่อยๆ เราจัดแจงไปซื้อชุดสำหรับที่จะใส่บาตรพระมาจัดเตรียมเอาไว้สองชุด ในชุดจะประกอบไปด้วยของหลายสิ่งอย่าง แต่ที่เป็นไฮไลท์และพระเอกของงานนี้ก็คงจะเป็นข้าวเหนียวนั่นเอง

       

    ประเพณีตักบาตรข้าวเหนียวของเชียงคานได้สืบสานกันมาอย่างยาวนาน การที่จะได้ตักบาตรข้าวเหนียวนั้น นักท่องเที่ยวจะต้องตื่นแต่เช้าเอามากๆ เพราะถ้าตื่นสายก็อย่าหวังจะได้เจอกับประเพณีที่ว่านี้ ของที่ใส่บาตรก็จะมีแม่ค้ามาตั้งโต๊ะวางขาย เพียงชุดละ 70 บาทเท่านั้นเอง ภายในชุดก็จะมีขนม นม เนย ดอกไม้ธูปเทียน และสิ่งสุดท้ายก็คือข้าวเหนียวหนึ่งกระติ้บ เวลาจะใส่ก็หยิบหรือจกข้าวเหนียวเป็นก้อนเล็กๆ เอาไว้ พอพระมายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับเปิดฝาบาตร เราก็หยิบก้อนข้าวเหนียวที่ปั้นรอเอาไว้อยู่ก้อนแล้วใส่เข้าไปในบาตรพระ รวมไปถึงสิ่งของอื่นๆ ก็ใส่ในบาตรของพระด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นก็จะมีลูกศิษย์ที่เดินตามพระมาคอยหยิบของจากบาตร เอาไปเก็บในภาชนะที่เตรียมเพื่อนำเอากลับไปที่วัด

       

    ในระหว่างที่รอใส่บาตร การบันทึกภาพวิถีชีวิตของประเพณีตักบาตรข้าวเหนียวก็เริ่มขึ้นอยู่เป็นระยะๆ ในขณะที่มองผ่านช่องมองภาพ สายตาก็เหลือบไปเห็นคุณยายท่านหนึ่งกำลังตั้งหน้ารอใส่บาตรพระอยู่ การบันทึกภาพในช๊อตนี้ถือว่าสำคัญและเป็นความต้องการอย่างมากสำหรับผม เพราะภาพนี้มันสามารถบอกเล่านรายละเอียดได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นการสืบสานวัฒนธรรมหรือการเก็บเกี่ยวผลบุญเพื่อเป็นเสบียงเอาไว้ในภูมิภพหน้า มองเห็นรอยยิ้มและสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปิติสุขในขณะที่กำลังใส่บาตร หยิบข้าวเหนียวทีละก้อน ทีละก้อนเพื่อบรรจงยื่นมือเอามันไปหย่อนใส่ในบาตรของพระ ฟันฟางที่เผยอให้เห็นร้องรอยของคราบน้ำหมากปรากฎให้เห็นเป็นรอยยิ้ม ดูแล้วอดปลื้มกับผลบุญที่ได้รับไปกับยายด้วยเลย

       

    สำหรับพระที่เดินทางมาเพื่อรับของที่ประชาชาใส่บาตรนั้นก็มีมาจากหลายวัด บางวัดก็จะมีอยู่หลายองค์ มากบ้าง น้อยบ้าง ในแต่ละวัดก็จะมีลูกศิษย์ถือภาชนะคอยหยิบของจากบาตรพระมาใส่เก็บเอาไว้ ด้านที่จะต้องไปนั่งใส่บาตรก็จะเป็นทางเดียว คืออยู่ทางฝั่งที่ติดกับแม่น้ำโขง ซึ่งก็คือฝั่งตรงข้ามกับที่พักแม่น้ำมีแก่งของพวกเรานั่นเอง

    อากาศเริ่มจะแผ่ไอร้อนขึ้นมาในช่วงสายของวัน พระทยอยกลับวัดไปแล้ว นักท่องเที่ยวและชาวบ้าน รวมไปถึงเราสองคนก็เริ่มลุกขึ้นและพากันเดินกลับที่พักเช่นเดียวกัน รอยเปื้อนยิ้มและอิ่มไปกับบุญที่ได้ทำในเช้านี้เปล่งประกายขึ้นอย่างอัตโนมัติ อาการของคนที่อิ่มสุขเกิดขึ้นขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก เป็นการตื่นขึ้นมาที่คุ้มค่าที่สุด อย่างน้อยเราก็ได้มาทำบุญเพื่อเก็บเกี่ยวผลบุญเอาไว้ในชาติภพหน้า และที่สำคัญ เราได้ลบคำครหาหรือท้าทายได้แล้วว่า ใครที่ได้ตื่นขึ้นมาตักบาตรข้าวเหนียวก็ถือว่าได้มาถึงเชียงคานแล้ว และเราสองคนก็เป็นหนึ่งในบุคคลเหล่านั้นด้วยจริ

    พิกัดการนำทาง : ถนนคนเดินเชียงคาน

………………The End………………
.
.
.


 

    หลังจากใส่บาตรข้าวเหนียวในตอนเช้าแล้ว เมื่อถึงตอนพลบค่หลังจากอาบน้ำอาบท่ากันเสร็จ กิจกรรมกอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญและชอบนั่นก็คือ การไปเดินเล่นช้อปปิ้งกันที่ถนนคนเดินเชียงคาน ก็เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง ว่ามั้ย?

       

    แสงไฟในยามพลบค่ำถูกเปิดขึ้นแย่างสว่างไสวไปทั่วของถนน พวกเรารวมตัวกันเพื่อถ่ายภาพหมู่กันกลางถนนก่อนที่จะเริ่มเดินเล่นกัน แหม! ก็ขอสร้างภาพกันบ้างสิครับ ถ่ายภาพหมู่กันเสร็จก็พากันเดินไปตามถนนคนเดิน ซึ่งในเวลานี้ผู้คนหรือนักท่องเที่ยวยังคงมีไม่มากนัก ร้านรวงที่ขายสินค้าก็ออกจะดูเงียบเหงา อาจจะเป็นว่าวันนี้เป็นวันพฤหัสบดีก็เป็นได้ นักท่องเที่ยวจะเยอะก็คงจะมีจำนวนมากก็น่าจะเป็นในช่วงวีคเอนด์ คือในช่วงวันศุกร์เสาร์ สำหรับในวันอาทิตย์นักท่องเที่ยวก็จะมีจำนวนไม่มากแล้ว

       

    เท่าที่เดินไม่ว่าจะเป็นในช่วงวันธรรมดาหรือในวันศุกร์เสาร์ก็ตาม ที่เชียงคานดูแล้วก็ไม่คึกคักเหมือนสมัยที่บูมในช่วงแรกๆ สินค้าเดี๋ยวนี้ทุกร้านก็จะขายเหมือนกันๆ กัน ส่วนมากก็จะเป็นเสื้อผ้าที่สกรีนเป็นชื่อเชียงคานซะส่วนใหญ่ นอกนั้นก็เป็นของชำร่วยหรือของที่ระลึกเล็กๆ น้อย จะมีเห็นบ้างก็เป็นบางร้านที่ขายของแนววินเทจ

    นอกจากของที่ขายอยู่ในร้านและวางขายข้างทางแล้ว อาหารก็มีขายอยู่เป็นระยะๆ ทั้งที่เป็นแผงและเป็นร้านใหญ่ๆ แต่ก็เอาหละ ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็เลยต้องเดินกันซะหน่อย เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง เดินกันจนท้องหิวก็แวะจัดมื้อค่ำกันที่ร้านที่อยู่ติดกับถนนคนเดินด้วยเลย สำหรับคืนนั้นผมก็เลยได้เพียงเสื้อที่สกรีนคำว่าเชียงคาน แล้วก็ผ้าพันคอสีเขียวติดไม้ติดมือมาอย่างละชิ้น

       

    สำหรับถนนคนเดินเชียงคานจะเริ่มตั้งแต่ซอย 5 ไปจนถึงประมาณซอย 20 เป็นถนนเว้นล่างที่เคียงคู่ขนานไปกับลำน้ำโขง ผู้คนรวมไปถึงนักท่องเที่ยวจะมีจำนวนมากก็ในวันศุกร์และวันเสาร์ เวลาที่เดินก็น่าจะประมาณซักหกโมงเย็นขึ้นไปจนถึงสามสี่ทุ่มก็น่าจะได้ นอกจากร้านค้าแล้ว ที่ติดกับถนนคนเดินก็ยังมีที่พักตั้งอยู่เแป็นระยะๆ สลับกับร้านค้าอยู่หลายหลังเหมือนกัน มีราคาตั้งแต่ห้าหกร้อยไปจนถึงพันกว่าบาทแล้วแต่รูปแบบและสไตล์ สำรับคนที่จะไปเดินขอแนะนำให้ไปช่วงวันหยุดศุกร์เสาร์จะดีกว่า เพราะสองวันนี้นักท่องเที่ยวจะมีจำนวนมาก ทำให้เดินสนุกและคึกคัก มีเพื่อนมากมายไม่เหงาด้วย ว่ามั้ย?

        พิกัดการนำทาง : ถนนคนเดินเชียงคาน

………………The End………………
.
.
.

 

    มาเที่ยวที่เชียงคานทั้งที เวลาแห่งปลดปล่อยเพื่อหาความสุขและนั่งทานอาหารแบบชิลล์ๆ แนะนำที่นี่เลย ร้าน The Mask ด้วยบรรยากาศที่ดูกึ่งดิบๆ สไตล์ฮิบๆ การตกแต่งร้านและจัดแสงสีทำได้ดี รูปแบบก็ออกแนววินเทจเรโทร มีการนำของเก่ามาตกแต่งประดับประดาอยู่บ้าง ที่ชอบอีกอย่างก็น่าจะเป็นห้องน้ำ ออกแบบและให้สีสันสวยงาม เวลาถ่ายรูปออกมาแล้วดูดีทีเดียว

       

    สำหรับอาหารก็มีให้เลือกหลากหลายชนิดอยู่เหมือนกัน รสชาติก็ต้องบอกว่าเด็ดสุดๆ คือประมาณว่าเข้มข้นจนต้องซู้ดปากกันเลยทีเดียว แต่ก็สามารถบอกให้เชฟทำรสชาติให้บางลงได้ตามแต่ใจคนสั่ง เมนูเด็ดของร้านตอนนี้ก็น่าจะเป็น ขาหมูเยอรมัน ปลาแซลม่อนแช่น้ำปลา แซบสุดๆ เลยขอบอก

       

    นอกจากอาหารแล้ว ที่นี่ยังจำหน่ายเครื่องดื่มทั้งที่มีแอลกอฮอล์และแบบค็อกเทลด้วยเหมือนกัน ภายในบริเวณร้านก็จะมีที่นั่งอยู่หลายรูปแบบ ใครชอบแบบไหน มุมไหนก็เลือกนั่งเอาตามใจชอบ และที่นี่ยังมีดนตรีเล่นสดๆ ให้ฟังกันอย่างเพลินๆ อีกด้วย คืนนั้นพวกเราก็เลยจัดทั้งเครื่องดื่มและอาหารพร้อมกับแกล้มกันไปจนอิ้มท้องซะด้วยเลย

       

    ร้าน The Mask จะอยู่ระหว่างซอย 9 ด้านล่างฝั่งที่ติดกับลำน้ำโขง จะเริ่มเปิดบริการตั้งแต่ห้าโมงเย็นไปจนถึงเที่ยงคืน สนใจก็ลองแวะเวียนไปนั่งชิลล์ๆ กันได้

       

    อีกร้านที่อยากแนะนำนั่นก็คือ “ร้านนั่งเล่นเล่นริมโขง” อาหารไทยๆ นี่แหละ แต่โทษทีรสชาติเด็ดสุดๆ ร้านจะอยู่ที่ซอย 16 ติดกับริมน้ำโขงเลย ร้านนี้ถือว่าบรรยากและรสชาติของอาหารดีมากๆ ร้านจะเปิดให้บริการตั้งแตเวลาห้าโมงเย็นไปจนถึงเที่ยงคืนเช่นเดียวกัน เสียดายคืนนั้นไม่ได้ถ่ายรูป แต่รับรองว่าเด็ดสุดๆ ที่สำคัญราคาไม่แพงอย่างที่คิดแน่นอน
.
. 

     สำหรับเชียงคานนอกจากถนนคนเดินแล้ว ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกหลายแห่งที่สำคัญๆ ดังที่นำมาบอกเล่าเรื่องราวเล่าสู่กันฟัง นอกจากนี้ก็ยังมีอีหลายที่ที่เราอยากนำเอามานำเสนอให้ได้รับรู้กันอีก อย่างเช่น ภูทอก ที่มีทะเลหมอกอันสวยงาม, แก่งคุดคู้, วัดท่าคก, วัดพระพุทธบาทภุควายเงิน, ท่องเที่ยวการเกษตรบ้านบุฮม ฯ เอาไว้ครั้งหน้าถ้าไปอีก จะไปตามล่าแหล่งท่องเที่ยวที่เหลือมาเล่าสู่กันฟังไปพร้อมๆ กับภาพประกอบสวยๆ ให้ได้ชมกันอีกนะครับ แน่นอน เชื่อสิ เคร บ๊าย บาย

………………The End……………….
………………The End………………
 
Previous «
Next »

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *