สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ได้เร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลทั่วทุกมุมโลกอย่างแท้จริง และในขณะที่บริษัทและองค์กรต่างๆ กำลังเร่งแสวงหาแรงงานที่มีทักษะเพื่อรับมือกับความท้าทายอันเป็นผลมาจากการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล เรายิ่งเห็นได้ชัดกว่าเดิมว่าการขาดบุคลากรที่มีทักษะดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงเป็นปัญหาสำคัญ
จากรายงาน Global Connectivity Index (GCI) ล่าสุดของหัวเว่ย ที่ได้จัดกลุ่มประเทศต่างๆ ออกเป็น 3 กลุ่มตามการลงทุนด้านไอซีที การเติบโตของไอซีที และผลการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจดิจิทัล โดยจัดเป็นประเภทเป็นกลุ่มผู้ริเริ่ม ผู้ที่กำลังประยุกต์ใช้ หรือผู้นำในตลาด รายงานดังกล่าวเปิดเผยว่า ประเทศต่างๆ ในเอเชียแปซิฟิกมีความแตกต่างกันอย่างมากในทุกพื้นที่ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาโดยรวมที่ไม่สมดุลกันในภูมิภาค นอกจากนี้ ยังมีการตั้งข้อสังเกตอีกว่าเมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายจากการระบาดของโควิด-19 ประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่สมบูรณ์มากกว่าจะได้รับผลกระทบจะในขอบเขตที่จำกัดกว่าและสามารถฟื้นตัวได้ดีกว่า
การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจดิจิทัลทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านไอซีที และเมื่อเราก้าวย่างเข้าสู่โลกที่อัจฉริยะ ความไม่เท่าเทียมกันด้านดิจิทัลก็ยังคงมีอยู่ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผู้สูงอายุจำนวนมากไม่สามารถจองคิวผ่านโทรศัพท์มือถือเพื่อจะไปฉีดวัคซีนได้ เนื่องจากพวกเขาไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีดิจิทัลดังกล่าว และนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลก็ไม่สามารถเข้าถึงโปรแกรมการศึกษาแบบออนไลน์ได้ เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานหลายอย่างยังไม่อำนวย ในแง่ของธุรกิจ รายงานวิจัยจาก Korn Ferry ระบุว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานดิจิทัลถึง 47 ล้านคนภายในปี พ.ศ. 2573 คิดเป็นค่าเสียโอกาสราว 4.238 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี นอกจากนี้ จากผลสำรวจซีอีโอทั่วโลก (Global CEO Survey) ประจำปีครั้งที่ 20 ของ PwC พบว่า ซีอีโอมากกว่า 50% ของในเอเชียแปซิฟิกมีปัญหาเกี่ยวกับการว่าจ้างผู้ที่มีความสามารถด้านดิจิทัลที่มีทักษะเหมาะสมกับตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม เอเชียแปซิฟิกยังคงเป็นภูมิภาคที่แสดงศักยภาพในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างยอดเยี่ยม และเมื่อมีการใช้เครือข่าย 5G อย่างกว้างขวาง ระบบการเชื่อมต่อ คลาวด์ ปัญญาประดิษฐ์ การประมวลผล และการประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ก็ได้ร่วมกันสร้างโอกาสอันน่าตื่นเต้นนี้สำหรับภาคไอซีทีในภูมิภาคนี้
ในทศวรรษถัดไป เทคโนโลยีเกิดใหม่หลายอย่างพร้อมที่จะพลิกโฉมเศรษฐกิจดิจิทัลครั้งยิ่งใหญ่ การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในวิธีการทำงานของผู้คน และแนวทางการทำงานในปัจจุบันอาจล้าสมัยหรือจำเป็นจะต้องพัฒนาทักษะใหม่ๆ ในบริบทนี้ รัฐบาลจำเป็นจะต้องมีบทบาทในการเป็นผู้นำและทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้คนในท้องถิ่นให้มีความสามารถ
เพื่อแก้ไขช่องว่างด้านทักษะด้านดิจิทัลในประเทศไทย บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ทุ่มเททรัพยากรและร่วมมือกับพันธมิตรในระบบนิเวศต่างๆ เพื่อพัฒนาโครงการผู้มีความสามารถด้านไอซีทีรุ่นใหม่ซึ่งมุ่งเน้นการแก้ปัญหาต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
โครงการ “Seeds for the Future” เริ่มดำเนินการในปี พ.ศ. 2551 เป็นครั้งแรก ที่จังหวัดกรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยเป็นโครงการแรกจากหลายโครงการที่ออกแบบมาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ที่มีความสามารถด้านไอซีที และส่งเสริมให้พวกเขาสามารถรับมือกับความท้าทายทางสังคมด้วยโซลูชันดิจิทัล โครงการนี้ได้รวบรวมเอาเยาวชนที่มีความสามารถด้านไอซีทีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำเข้าร่วมค่ายวิชาการและโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมอบทุนการศึกษาประจำปีและสร้างการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย ในปีที่ผ่านมา หัวเว่ยได้ประกาศลงทุน 150 ล้านดอลลาร์ในโครงการนี้ และในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2565 หัวเว่ยได้จัดโครงการ Seeds for the Future ระดับภูมิภาคครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดจาก 140 ประเทศในภูมิภาคนี้ และเข้าถึงนักศึกษากว่า 12,000 คนจากมหาวิทยาลัย 500 แห่งอีกด้วย
โครงการ “Seeds for the Future” เริ่มดำเนินการในปี พ.ศ. 2551 เป็นครั้งแรก ที่จังหวัดกรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยเป็นโครงการแรกจากหลายโครงการที่ออกแบบมาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ที่มีความสามารถด้านไอซีที และส่งเสริมให้พวกเขาสามารถรับมือกับความท้าทายทางสังคมด้วยโซลูชันดิจิทัล โครงการนี้ได้รวบรวมเอาเยาวชนที่มีความสามารถด้านไอซีทีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำเข้าร่วมค่ายวิชาการและโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมอบทุนการศึกษาประจำปีและสร้างการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย ในปีที่ผ่านมา หัวเว่ยได้ประกาศลงทุน 150 ล้านดอลลาร์ในโครงการนี้ และในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2565 หัวเว่ยได้จัดโครงการ Seeds for the Future ระดับภูมิภาคครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดจาก 140 ประเทศในภูมิภาคนี้ และเข้าถึงนักศึกษากว่า 12,000 คนจากมหาวิทยาลัย 500 แห่งอีกด้วย
หัวเว่ยยังได้เปิดตัว ASEAN Academy ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ออกแบบมาเพื่อลดความแตกต่างระหว่างอุปสงค์และอุปทานด้านบุคลากรไอซีที โดยได้ร่วมมือกับรัฐบาล หน่วยงานกำกับดูแล องค์กรในภาคอุตสาหกรรม และผู้เชี่ยวชาญระดับสูง เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมไอซีที โดยหัวเว่ยได้ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยกว่า 200 แห่งในอาเซียน เพื่อพัฒนาระบบหลักสูตรสำหรับตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การฝึกปฏิบัติ และการสร้างการรับรองมาตรฐานสำหรับมหาวิทยาลัย ส่งผลให้เกิดห่วงโซ่อุปทานของผู้มีความสามารถด้านไอซีทีอย่างแข็งแกร่งกว่า 4,000 คนใน 12 ประเทศ ครอบคลุมทั้งกระบวนการการเรียนรู้ การรับรองมาตรฐาน และการจ้างงานทั้งหมดผ่านการกระชับความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและองค์กรต่างๆ
ปัจจุบัน หัวเว่ยกำลังมองถึงอนาคตที่สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้มากยิ่งขึ้น มีความอัจฉริยะยิ่งขึ่น และยั่งยืนยิ่งขึ้น การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัลจะเป็นแรงผลักดันสำคัญสำหรับอนาคต แต่บุคลากรดิจิทัลถือเป็นกุญแจสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืนที่แท้จริง การสร้างอีโคซิสเต็มในด้านบุคลากรดิจิทัลเพื่อรองรับยุคใหม่ จำเป็นต้องใช้ความพยายามและความร่วมมือจากทั้งภาครัฐบาล ภาคอุตสาหกรรม และสถาบันการศึกษา ทั้งนี้ หัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความพยายามเหล่านี้ผ่านการยกระดับทักษะแรงงานไทยและผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญในด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและการพัฒนาบุคลากร