• Homepage
  • >
  • Trevel Trip
  • >
  • ย้อนรอยประวัติศาสตร์จันทบุรี กับ Mitsubishi Lancer EX GLS

ย้อนรอยประวัติศาสตร์จันทบุรี กับ Mitsubishi Lancer EX GLS


    ครั้งแรกที่เห็นรถมิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์  1.8 GLS รู้สึกแปลกตากับความหรูหราโฉบเฉี่ยวที่มีมาให้ รูปลักษณ์โดยรวมแตกต่างจากรุ่นเดิมพอสมควร ในส่วนของชุดคอนโซลภายใน ตกตกแต่งด้วย Gloss Black สีดำวาว เพิ่มความหรูหราอย่างมีสไตล์ ส่วนด้านหน้าจะมีการเพิ่มคิ้วโครเมี่ยมล้อมกรอบช่องรับอากาศในส่วนของกันชน

 พร้อมล้อแม็กอัลลลอยลายใหม่ และในส่วนของด้านหลัง จะเพิ่มความสวยหรูด้วยคิ้วโครเมียมที่ปลายฝากระโปรงหลัง

    รถยนต์รุ่นนี้ถูกออกแบบมาให้สตาร์ทเครื่องยนต์โดยที่ไม่ต้องใช้กุญแจเหมือนรุ่นเดิมๆ ซึ่งถือว่าสะดวกมากๆ หลังจากนั้นก็ได้เวลาเดินทางไปยังจังหวัดจันทบุรี ซึ่งระยะทางประมาณ 245 กิโลเมตร การขับรถในช่วงที่ต้องการรักษาระดับความเร็ว รุ่นนี้ยังมีระบบ Cruise Control ควบคุมความเร็วอัตโนมัติ เพื่อให้คนขับได้พักผ่อนและลดอาการเมื่อยล้าจากการขับขี่ไปในตัวได้เป็นอย่างดี

 
    จันทบุรีเป็นเมืองเก่าจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เชื่อกันว่ามีอายุไม่ต่ำกว่า 1,000 ปี สร้างขึ้นโดยชนชาติ ชอง บางตำนานก็ว่าสร้างโดยชนชาติ ขอม หัวเมืองเดิมตามศิลาจารึกเรียกว่า “ควนคราบุรี” ชาวพื้นเมืองเรียกว่า “เมืองกาไว” ตามชื่อผู้ปกครอง เมืองจันทบุรีเดิมตั้งอยู่บริเวณหน้าเขาสระบาป มีชนพื้นเมืองเดิมอาศัยอยู่เรียกว่า ชาวชอง มีภาษาพูดเป็นภาษาของตนเอง 
    รุ่งเช้าของอีกวันหลังจากทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะได้ไปเที่ยวแหล่งประวัติศาสตร์ของเมืองจันทบุรี ครั้งนี้จะพาไปยี่ยมชม “คุกขี้ไก่” และ “ตึกแดง” ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักประมาณ 17 กิโลเมตร อยู่บริเวณปลายแหลมสิงห์ 

    ระบบกุญแจอัจฉริยะทำงานขึ้นอีกครั้งในขณะที่เดินเข้าไปใกล้ๆ กับตัวรถ หลังจากปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ สำหรับรถรุ่นนี้ การสตาร์ทรถถือว่ามีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เพียงแค่เหยียบเบรกแล้วบิดปุ่มสตาร์ท เครื่องยนต์ก็ทำงานทันที รู้สึกได้เลยว่าเครื่องยนต์ของรถรุ่นนี้ทำงานเงียบมากจนแทบไม่ได้ยิน จึงเป็นสิ่งที่สร้างความพึงพอใจให้กับคนขับและผู้ร่วมเดินทางได้เป็นอย่างดี

    รถเคลื่อนตัวออกจากโรงแรมเพื่อมุ่งหน้าไปยังเป้าหมาย และก่อนที่จะไปยังเป้าหมาย เราก็เลยถือโอกาสแวะเข้าไปชมโบสถ์คาทอลิก ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่มีชื่อของจันทบุรี โบสถ์คริสต์นิกายคาทอลิก ตั้งอยู่ในบริเวณโรงเรียนสตรีมารดาพิทักษ์ ตำบลจันทนิมิตร สามารถเข้าทางเดียวกับวัดไผ่ล้อม สถานที่แห่งนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล ได้ชื่อว่าเป็นโบสถ์คาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

  
 

    หลังจากเที่ยวชมพร้อมกับบันทึกภาพกันจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางต่อ และเส้นทางที่จะไปเที่ยวยังเป้าหมาย ซึ่งจะต้องขับผ่านวัดไผ่ล้อม ก็เลยถือโอกาสแวะเข้าไปไหว้พระขอพรกันซะหน่อย

  

     
    วัดไผ่ล้อม เป็นวัดเก่าแก่ของเมืองจันทบุรี พระอุโบสถถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย ดังจะเห็นได้จากฐานโบสถ์ที่โค้งเรียกว่า “ตกท้องช้างหรือท้องเชือก” อันเป็นสถาปัตยกรรมในสมัยอยุธยาตอนปลาย นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารของวัดนี้อีกด้วย ใช้เวลาอยู่ที่วัดไผ่ล้อมประมาณชั่วโมงเศษๆ ก็ได้เวลาออกเดินทางต่อไปยัง “คุกขี้ไก่” ซึ่งเป็นเป้าหมายการท่องเที่ยวสำหรับวันนี้ 

    รถยนต์เคลื่อนตัวออกจากบริเวณวัดไผ่ล้อม วิ่งไปตามทางที่คดเคี้ยวไปมาขับผ่านหมู่บ้านซึ่งเป็นย่านชุมชนของที่นี่ก่อนที่จะมาโผล่อีกด้านหนึ่งก่อนที่จะวิ่งเข้าสู่ถนนสายหลัก ในขณะที่รถวิ่งอยู่บนถนน ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ต้องเบรกแบบกะทันหัน ระบบเบรกแบบ ABS ก็จะทำงาน ในขณะเดียวกันระบบก็จะทำการเปิดไฟกระพริบฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ เพื่อแจ้งเตือนรถที่ตามมาข้างหลังให้ได้รับทราบ เป็นระบบไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ ESS (Emergency stop signal system) ที่มีมาให้สำหรับรถยนต์รุ่นนี้ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องความปลอดภัยระหว่างการขับขี่

 

    เวลา 15.45 น. รถมิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ก็เลี้ยวขึ้นไปจอดยังหน้าบริเวณทางเข้า “คุกขี้ไก่” ซึ่งเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของเมืองจันทบุรี หลังจากดับเครื่องยนต์แล้ว พวกเราก็ก้าวออกมาจากตัวรถ ประตูรถถูกปิดพร้อมๆ กัน รีโมทถูกใช้งานอีกครั้งเพื่อทำการล็อครถ ในขณะเดียวกัน กระจกมองข้างของรถก็ทำการพับเก็บแนบกับตัวรถทันที เป็นการช่วยหลีกเลี่ยงการเฉี่ยวชน และช่วยให้เราสังเกตว่า รถได้ถูกล็อคเรียบร้อยแล้ว

           

    บริเวณโดยรอบของ “คุกขี้ไก่” ถูกตกแต่งด้วยต้นไม้และไม้ดอกอย่างสวยงาม มีทางเดินทอดยาวไปรอบๆ บริเวณสำหรับให้นักท่องเที่ยวได้เดินชม ลักษณะของคุกขี้ไก่จะเป็นหอสี่เหลี่ยมจัตุรัส สร้างด้วยอิฐแดง กว้างยาวด้านละประมาณ 4.40 เมตร สูงประมาณ 7 เมตร มีช่องระบายอากาศเล็กๆอยู่สองแถว หลังคาด้านบนโปร่งมองทะลุเห็นท้องฟ้า  เป็นคุกที่ทรมานมาก เพราะชั้นบนใช้เป็นที่เลี้ยงไก่ ซึ่งจะถ่ายมูลราดศีรษะนักโทษที่ถูกคุมขังตลอดเวลา

 

    คุกขี้ไก่ ตั้งอยู่ที่ตำบลปากน้ำแหลมสิงห์ ก่อนถึงท่าเทียบเรือ 1 กิโลเมตร สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2436 (ร.ศ. 112) เมื่อฝรั่งเศสได้เข้ายึดจันทบุรี ในกรณีพิพาทกันด้วยเรื่องดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ระหว่างนั้นกองทหารฝรั่งเศสประมาณ 600 คน แยกกันอยู่สองแห่ง แห่งแรกตั้งอยู่ที่เมืองจันทบุรี บริเวณที่เป็นค่ายทหารในปัจจุบัน อีกแห่งอยู่ที่ปากน้ำแหลมสิงห์ ฝรั่งเศสได้สร้างคุกขี้ไก่เพื่อใช้กักขังคนไทยที่ต่อต้านฝรั่งเศส

  

    จวบจนเมื่อเวลา 16.30 น. หลังจากที่ได้เข้าไปเยี่ยมชมด้านในและรอบๆ บริเวณของคุกขี้ไก่จนเป็นที่พอใจแล้ว ก็ได้เวลาที่จะต้องเดินทางไปเที่ยวอีกหนึ่งสถานที่ที่อยู่บริเวณปลายแหลมสิงห์ นั่นก็คือ ตึกแดง

               
    ตึกแดง สร้างขึ้นในสมัย ร.ศ. 112 หรือ พ.ศ. 2436 เมื่อฝรั่งเศสยึดครองจันทบุรี ได้ใช้เป็นที่พักของนายทหาร และเป็นกองอำนวยการ ลักษณะเป็นตึกชั้นเดียว สร้างด้วยอิฐฉาบปูนทาสีแดง วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างเช่น เหล็ก ลวด ตาข่าย และกระเบื้อง ล้วนนำมาจากฝรั่งเศส และบางส่วนได้รื้อมาจากป้อมพิฆาตปัจจามิตรที่ใช้ป้องกันเรือรบเมื่อฝรั่งเศสบุกเข้ายึดเมืองจันทบุรี

    เวลา 17.15 น. หลังจากที่เยี่ยมชมและเก็บภาพบริเวณตึกแดงกันจนเป็นที่พอใจแล้ว พวกเราก็ขับรถเลยไปยังท่าเทียบเรือ เพื่อจะบันทึกภาพในช่วงพระอาทิตย์ตกดินที่บริเวณปลายแหลมสิงห์ 

 

    ที่นี่จะเป็นท่าเทียบเรือของชาวประมง ส่วนทางด้านขวาจะมองเห็นสะพานตากสินมหาราช หรือสะพานแหลมสิงห์ เป็นสะพานที่ทอดข้ามปากแม่น้ำจันทบุรีที่อำเภอแหลมสิงห์ เชื่อมต่อระหว่างตำบลปากน้ำแหลมสิงห์ และตำบลบางกะไชยที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในภาคตะวันออก มีความยาว ระยะทาง 1,060 เมตร 

               

    ดวงอาทิตย์เพิ่งจะลับขอบฟ้า แต่ยังคงทิ้งร่องลอยให้เห็นสีส้มอยู่ไกลๆ  ในขณะที่แสงสีน้ำเงินเริ่มแผ่ปกคลุมเข้ามาแทนที่ ณ เวลานี้ไม่มีอะไรจะเปรียบเปรยเทียบเท่ากับความงดงามของธรรมชาติในยามนี้ได้อีกแล้ว พวกเราจึงใช้เวลาที่เหลือในช่วงนี้ เก็บเกี่ยวความสุขที่ได้จากความสวยงามของธรรมชาติเมื่อยามสิ้นแสงสุดท้ายของวัน จนกระทั่งแสงสีน้ำเงินเริ่มลางเลือนพร้อมกับความมืดมิดเริ่มเข้าปกคลุม พวกเราก็ได้เวลาเดินทางกลับที่พักเพื่อทำการพักผ่อน เก็บเอาเรี่ยวแรงไว้สำหรับการเดินทางกลับกรุงเทพในรุ่งเช้าของอีกวัน

 

    ตลอดระเวลาของการเดินทางไปกับรถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ จี แอล เอส รู้สึกประทับใจในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเติมน้ำมันได้หลากหลายอย่างเช่น เบนซิน91, 95 แก๊สโซฮอล์ E10, E20, และ E85  นอกเหนือจากเรื่องของความสะดวกสบายในด้านอื่นๆ แล้ว สำหรับรถรุ่นนี้ ยังมีรูปลักษณ์ที่มีความหรูหราโฉบเฉี่ยวและสวยงาม และที่สร้างความประทับและสะดวกเอามากๆ ก็คือ ระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS หรือ Keyless Operation System เพียงพกกุญแจไว้กับตัวในระยะใกล้ๆ แค่ 70 เซนติเมตร คุณก็สามารถปลดล็อคประตูและเปิดฝากระโปรงท้ายรถได้อย่างง่ายดาย รถยนต์รุ่นนี้จึงเหมาะสำหรับการใช้งานที่ครอบคลุมอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองแบบหรูหรา หรือสำหรับการขับขี่เพื่อเดินทางท่องเที่ยว จึงสามารถตอบโจทย์ให้กับผู้ขับขี่และผู้ร่วมเดินทางได้เป็นอย่างดี สมกับสโลแกนที่ว่า “Refined Style สู่อีกระดับแห่งความหรูหรา เร้าใจ อย่างมีสไตล์”              

                                                    ……………………………………………………………….

    สำหรับการเดินทางที่จะไปเที่ยว “คุกขี้ไก่” และ ”ตึกแดง”  จาก อ.เมืองจันทบุรี ให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 ไปทางอำเภอขลุง จนถึงบริเวณสถานวิจัยพืชสวนจันทบุรี หลังจากนั้นให้เลี้ยวเข้าทางหลวงหมายเลข 3149 ขับตรงไปเรื่อยๆ จนเกือบสุดถนน จะมองเห็นคุกขี้ไก่อยู่ทางด้านขวามือ และระยะทางจากคุกขี้ไก่ไปอีกประมาณ 200 ม. จะพบกับตึกแดงตั้งตระหง่านอยู่ทางด้านซ้ายมือ ซึ่งตึกแดงนี้ยังอยู่ใกล้กับท่าเรือข้ามฟากสิงห์อำนวยที่ปากน้ำแหลมสิงห์อีกด้วย  
Previous «
Next »

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *