“ปารี ฮัท รีสอร์ท” เริ่มมีคนรู้จักกันมากขึ้นก็เมื่อมีกองถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “ปืนใหญ่ จอมสลัด” ได้ยกกองขึ้นไป ถ่ายทำกันที่เกาะสีชัง แต่นั่นก็ยังไม่พอที่จะทำให้ “ปารี ฮัท รีสอร์ท” ดังขึ้นมาอย่างรวดเร็วข้ามวันข้ามคืน ก็ด้วยมีละคร อย่าง “เกมร้าย เกมรัก” ที่มีพระเอกและนางเอกสุดฮ็อตอย่าง ณเดชน์ คูกิมิยะกับ ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ ร่วมแสดงและถ่ายทำกันในสถานที่แห่งนี้ จึงทำให้ “ปารี ฮัท รีสอร์ท” เป็นที่รู้จักของผู้คนอย่างรวดเร็ว
พวกเราเดินทางถึงท่าเรือจรินทร์ที่ศรีราชาเมื่อตอนเที่ยงๆ ของวันเพื่อที่จะลงเรือข้ามฟากไปยังเกาะสีชังโดยที่เราได้ ทำการจอดรถฝากเอาไว้ในบริเวณใกล้ๆ กับท่าเรือ ค่าบริการรับฝากรถเพียงวันละ 150 บาทเท่านั้นเอง ก็ถือว่าไม่แพงมากนัก ที่สำคัญเป็นการสร้างความมั่นใจในเรื่องของความปลอดภัยอีกด้วย
จากสถานที่รับฝากรถ เราเรียกรถตุ๊กๆ ให้ไปส่งที่ท่าเรือด้วยราคา 50 บาท ถึงท่าเรือเวลาเที่ยงกว่าๆ แสงแดดก็ไม่ ร้อนมากเท่าไหร่ คงเป็นเพราะมีลมทะเลพัดผ่านมาช่วยให้คลายร้อนได้ระดับหนึ่ง ที่ท่าเรือเราจะมองเห็นเกาะลอยที่อยู่ ใกล้ๆ อย่างชัดเจน แต่ทว่าตอนนี้ยังคงปิดปรับปรุงอยู่ หลังจากเดินเก็บภาพและชมบริเณรอบๆ ท่าเรือจนเป็นที่พอใจ จนกระทั่งเวลาเกือบๆ จะบ่ายโมง ซึ่งเป็นเวลาที่เรือเที่ยวแรกจะออกเดินทางไปยังเกาะสีชัง พวกเรารีบเดินเข้าไปซื้อตั๋ว ทันที โดยที่เราต้องจ่ายค่าตั๋วคนละ 50 บาทเท่านั้นเอง อืม!! มันไม่แพงเลยนะ
ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่สีสิบห้านาที เรือที่พวกเรานั่งก็เคลื่อนที่เข้าไปจอดยัง “ท่าเรือเทววงศ์ (ท่าล่าง)” ของ เกาะสีชังในเวลาบ่ายสองโมงนิดๆ หลังจากนั้นก็พากันลากกระเป๋าสัมภาระตรงปยังรถที่มารอรับอยู่ก่อนแล้ว เป็นรถ สกายแล็ปที่ “ปารี ฮัท รีสอร์ท” ส่งคนมาคอยรับพวกเราจากท่าเรือไปสู่ยังที่พัก ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเกาะสีชัง
“พี่เอ” เป็นชื่อของคนที่ขับรถสกายแล็ป ด้วยอัธยาศัยที่เป็นกันเอง ระหว่างการเดินทางที่จะไปยังที่พัก พวกเราจึงได้ สนทนากันอยู่ตลอดการเดินทาง ใช้เวลาเดินทางจากท่าเรือไปยังยังที่พักเพียงแค่ 30 นาที่ก็ถึงที่หมาย
ลงจากรถก็ขอเก็บภาพกับพี่เอโชเฟอร์ของรถสกายแล็ปกันนิดนึง ร่ำลากันเสร็จก็ลากกระเป๋าเดินตรงไปยังด้านล่าง เพื่อทำการเช็คอิน หันไปมองรอบๆ จะมองเห็นหลังคาที่มุงด้วยใบจากอยู่ไกลๆ เดี๋ยวเข้าไปเช็คอินก่อนค่อยเดินชม รอบๆ บริเวณกัน
หลังจากเช็คอินรับกุญแจห้องพักเสร็จ พวกเราก็เดินตรงไปทางด้านนอกของฝั่งที่เป็นทะเล เหลือบไปเห็นบอร์ดขนาด ใหญ่พอประมาณ มีรูปของ ณเดชกับญาญ่าจากเรื่อง เกมร้าย เกมรัก ติดอยู่ด้วย พอเดินพ้นออกไปก็จะเป็นลานปูนที่มี ที่นั่งเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลม เพื่อให้ลูกค้าได้นั่งพักผ่อนเพื่อรับลมทะเลเพลินๆ
มองออกไปด้านนอกที่เป็นทะเล ในใจตอนนี้ก็อยากจะออกไปยืนสูดอากาศรับลมทะเลเย็นๆ เหมือนกัน แต่ก็ต้องไป ที่ห้องพักกันก่อน เราสองคนได้ห้องพักที่อยู่ติดกับลานจอดรถ พนักงานเดินนำหน้าพวกเราเข้าไปยังห้องที่เราจะพักในคืนนี้
“เดี๋ยวพวกพี่พักชั้นบนดีกว่านะครับ” พนักงานที่ช่วยยกกระเป๋าหันมาบอก สำหรับที่พักของปารี ฮัท รูปแบบจะเป็น หลังคาทรงหางกระเบนที่มุงด้วยใบจาก ทั้งหลังจะถูกออกแบบจะเป็นทรงกลม ผนังและพื้นห้องและทางเดินจะเป็นไม้ไผ่ ซะส่วนใหญ่ที่ยึดติดด้วยน็อต ช่วงรอยต่อจะพันด้วยเชือกสีขาวสร้างสีสันให้ดูเก๋ไก๋
พนักงานเปิดประตูห้องพักที่อยู่ชั้นที่สองเพื่อเข้าไปด้านใน วางกระเป๋าเข้าที่เรียบร้อยก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ ยัง คงปล่อยให้เราสองคนเดินสำรวจและทำการถ่ายรูปภายในห้องนอนกัน ภายในห้องก็จะมีเตียงนอนที่ยกสูง มีเสาสี่เสา อยู่ตรงมุม มีผ้าม่านสีขาวผูกยึดอยู่ตามมุมเสา ด้านบนจะมีโคมไฟแขวนอยู่ ผนังตรงด้านปลายเตียงมีโทรทัศน์จอแบน ตั้งอยู่ ทางด้านซ้ายติดกับประตูจะมีโซฟาสีน้ำตาลที่นั่งได้สามคนวางอยู่ เดินอ้อมเตียงไปทางด้านขวามือจะเป็น ห้องน้ำที่แยกออกเป็นสองส่วน การตกแต่งทั้งหมดจะเป็นไม้ไผ่ซะส่วนใหญ่เพื่อทำให้ดูกลมกลืนและเข้ากับธรรมชาติ
เดินสำรวจห้องพักกันเสร็จก็ได้เวลาออกไปเดินสำรวจรอบๆ บริเวณของรีสอร์ทกัน เดินออกมาจากห้องแล้วมองออก ไปนอกระเบียง จะมองเห็นที่พักที่ตั้งอยู่เรียงรายอยู่เป็นจังหวะ เยื้องๆ ขวามือจะมองเห็นสระน้ำขนาดพอประมาณ เอา ไว้ให้ลูกค้าที่มาพักได้ลงไปแช่เพื่อผ่อนคลาย อ๋อ!! เกือบลืมบอกไปว่า น้ำในสระของที่นี่จะเป็นน้ำทะเล จะมีการปั๊มเข้ามาใส่และปล่อยไหลทิ้งอยู่ทุกวันเพื่อความสะอาด
เดินออกไปยังบริเวณด้านที่อยู่ติดกับทะเล ลมเย็นที่พัดเข้ามาสัมผัสทำให้คลายร้อนได้เป็นอย่างดี ทางด้านซ้ายมือของที่พักจะเป็นในส่วนของห้องรับประทานอาหาร เดินลงไปเรื่อยๆ จนถึงบริเวณริมหน้าผาที่ติดกับทะเล จะมองเห็นเรือ คายัคที่มีเอาไว้สำหรับให้ลูกค้าได้นำเอาไปพายเล่นกัน ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ทางรีสอร์ทได้มีเอาไว้ให้เล่นกัน นอกจากเรือคายัคแล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น โดดหน้าผา, ตกปลา, โหนเชือกปล่อยตัวลงทะเล, นั่งอาบแดด, ดำน้ำดูปะการัง, ขับรถเอทีวี, ปีนป่ายภูเขา นอกจากนั้นยังพาท่องเที่ยวรอบเกาะด้วยรถสกายแล็บอีกด้วย
เดินย้อนกลับมาทางเดิมแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปในส่วนของสะพานไม้ไผ่ ที่ตรงนี้ถือว่าเป็นไฮไลท์ที่เมื่อใครเห็นภาพ แล้วจะต้องนึกถึงปารีฮัทขึ้นมาทันที ทางเข้าจะถูกติดป้ายห้ามเข้าสำหรับคนไม่ใช่ลูกค้าของที่นี่ เดินผ่านเข้าไปซักสาม เมตรก็ถึงสะพานที่สร้างอยู่ริมหน้าผาติดกับทะเล โครงสร้างทั้งหมดทำด้วยไม้ไผ่อย่างแข็งแรง แต่ละช่วงจะประดับ ตกแต่งไปด้วยอุปกรณ์จับปลาและหลอดไฟส่องสว่าง ในขณะที่เดินเหยียบไปบนพื้นไม้จะได้ยินเสียงของไม้ไผ่เสียดสี กันอยู่ตลอดเวลา ทางด้านขวามือก็จะมองเห็นที่พักเป็นหลังๆ ปลูกเรียงรายอยู่เป็นระยะๆ และเหลื่อมล้ำกันอยู่ตามชิงเขา
เสียงคลื่นกระแทกกับแนวหินให้ได้ยินอยู่ตลอดเวลา ละอองของน้ำทะเลที่ฟุ้งกระจายปลิวเข้ามาสัมผัสกับตัวเราอยู่เป็นช่วงๆ สร้างความสดชื่นให้เราได้คลายร้อนได้ดีเหมือนกัน เดินจนสุดสะพานก็จะเจอกับลานกว้างๆ ทางด้านซ้าย มือ ที่ตรงนี้จะมีเก้าอี้วางเอาไว้ให้ลูกค้าได้นั่งรับลมทะเเพลินๆ ในยามเย็น มีชะง่อนหินที่ยื่นออกไปเพื่อให้ลูกค้าได้ กระโดดน้ำทะเลเล่นกันอีกด้วย
มองเลยออกไปทางด้านบนที่เป็นเนินเขาไกลลิบๆ จะมองเห็นซุ้มดอกเห็นที่มุงด้วยใบจาก นั่นก็คือ “ผาประกาศรัก” นี่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ ที่เมื่อใครได้มาก็จะต้องไปเยือนและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกัน ถ้าอย่างนั้นก็ ถือว่ามาไม่ถึงที่นี่ แต่สำหรับผมก็ต้องเดินขึ้นไปสำรวจและสร้างภาพกันซะหน่อย
เดินลัดเลาะผ่านที่พักที่ปลูกเรียงรายอยู่สองฝั่งทางเดิน แต่ะหลังจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป เดินไปได้ซักพักก็จะ เจอกับป้ายบอกทางขึ้นผาประกาศรัก เดินลัดเลาะที่พักมุ่งหน้าขึ้นสู่ด้านบน บางครั้งต้องเดินไต่ไปบนหินบ้าง สะพาน ไม้ไผ่บ้าง แต่ที่รีสอร์ทก็ทำทางขึ้นเอาไว้เป็นอย่างดีและแข็งแรงอีกด้วย เหงื่อในกายเม็ดเล็กๆ เริ่มผุดและซึมออกมา แต่ก็ได้ลมทะเลช่วยพัดผาให้หายร้อนได้เป็นอย่างดี
เดินผ่านแนวหินขึ้นไปด้านบนก็จะเจอกับซุ้มดอกเห็ด ที่ตรงนี้มีเอาไว้สำหรับนักท่องเที่ยวเอาไว้นั่งพักให้หายเหนื่อย เหลือบมองขึ้นไปยังด้านบนก็แลเห็นซุ้มผาประกาศรักอยู่ไม่ไกลมากนัก เดินลัดเลาะไปตามสะพานที่ทำจากไม่ไผ่ริมเชิง เขา ชะโงกหน้ามองลงไปเบื้องล่างก็จะเห็นทะเลอยู่ไกลๆ ทำเอาเราเสียววาบไปถึงหัวใจเหมือนกัน ไม่นานก็เดินมา หยุดอยู่ตรงทางขึ้นไปยังผาประกาศรัก แอบอุทานและถอนหายใจบวกกับความดีใจไปด้วย เฮ่อ! มาถึงซะทีนะ “ผา ประกาศรัก”
แสงในยามเย็นเริ่มจะเบาบางและคลายความร้อนลงไปทุกขณะ ไม่รอช้า ไปสร้างภาพกับป้ายของผาประกาศรักสิ ครับ หันไปมองรอบๆ บริเวณก่อนที่ปลายสายตาหันกลับไปมองยังด้านล่างที่เป็นรีสอร์ท มองห็นที่พักที่หลังคามุงด้วย ใบจากปลูกเรียงรายอยู่เป็นระยะๆ อย่างสวยงาม กล้องในมือถูกหยิบขึ้นมาบันทึกภาพอีกครั้ง ใช้เวลาอยู่ที่นี่เพียงแค่ ยี่สิบนาทีก็ได้เวลาเดินทางกลับลงไปยังด้านล่าง เพราะเวลานี้แสงในยามเย็นจะเริ่มไม่มีให้เห็นแล้ว ต้องรีบทำเวลาใน การไปรอเก็บภาพในช่วงแสงสุดท้ายของวันที่บริเวณสะพานอีกด้วย
การเดินกลับไปยังด้านล่างใช้เวลาไม่นานมากนัก เดินลัดเลาะผ่านที่พักมุ่งตรงไปยังบริเวณลานว้างๆ ที่มีเก้าอี้วาง อยู่ ขาตั้งถูกหยิบขึ้นมาเตรียมเอาไว้เพื่อบันทึกภาพในช่วงสิ้นแสงสุดท้าย ลมทะเลในยามเย็นพัดผ่านเข้ามาประทะกับร่างกายให้รู้สึกถึงความเย็น พวกเราใช้เวลาในการบันทึกภาพเก็บแสงสุดท้ายและช่วงทไวไลท์นานจนเกือบจะมืดมิด แสงไฟรอบๆ บริเวณรีสอร์ทถูกเปิดเพื่อทำหน้าที่ขึ้นอีกครั้งเหมือนเช่นทุกๆ วัน
ความมืดมิดได้ทำหน้าที่ของมันขึ้นอีกครั้ง แต่ทว่าในยามนี้และเวลานี้ หลังจากอาบน้ำและรับประทานอาหารมื้อค่ำ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลาที่เหลือก็คงหนีไม่พ้นการนั่งเสพบรรยากาศริมระเบียงไม้ไผ่ จิบเบียร์เย็นๆ นั่งฟังเสียงคลื่น กระทบฝั่งอย่างเพลินๆ มีลำโพงบลูทูธวางไว้ข้างๆ กาย ส่งผ่านเสียงเพลงอันไพเราะขับกล่อมให้เราได้ผ่อนคลาย ปล่อยให้ใจลื่นไหลเลื่อนลอยไปกับบรรยกาศอันสุดแสนวิเศษของสถาที่แห่งนี้
ในมือยกกระป๋องเบียร์ขึ้นมาจิบพร้อมกับทอดสายตาออกไปยังชายฝั่ง มันช่างสุขใจซะเหลือเกิน เวลาที่เราได้พักกัน อยู่ที่นี่มันช่างน้อยเหลือเกิน แต่มันก็มากพอที่จะทำให้เราได้พบกับความสุขที่ในสังคมเมืองไม่สามารถให้กับเราได้ และที่นี่ ที่ “ปารี ฮัท รีสอร์ท” คืออีกหนึ่งในสถานที่พักที่สามารถทำให้เรา ได้พบกับความสุขในแบบที่เราต้องการได้ แบบไม่เหมือนใคร ที่สำคัญ “ปารี ฮัท รีสอร์ท” ยังได้รับรางวัล Thailand Boutique Award 2014-2015 อีกด้วย
สนใจติดต่อขอจองห้องพักในบรรยากาศที่แตกต่างได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 087-903-4300 หรือเว็บไซต์ www.pareehut.com
[แผนที่ไปปารีฮัท : ขึ้นเรือที่ท่าจรินทร์]
[พิกัด : ท่าจรินทร์]