
ในฐานะที่เป็นคนชอบเที่ยวและชอบการเดินทาง พวกเราก็จะต้องแพลนไปหาสถานที่ท่องเที่ยวยังต่างประเทศกัน อย่างน้อยๆ ก็ปีละหนึ่งครั้ง การท่องเที่ยวที่มีรสชาติและได้ความสมบูรณ์แบบก็จะต้องเป็นการจัดทริปไปกันเอง ซึ่งปีก่อนๆ พวกเราก็จัดกันในรูปแบบนี้กันเรื่อยมา โดยมีสมาชิกร่วมเดินทางไปประมาณ 7-8 คน งานนี้ก็มีโต้โผหรือคนดำเนินการอย่าง “คุณโอ๋” นันทกา ชัยมงคล เป็นคนค้นคว้าและหาข้อมูลส่งมาให้กับพวกเราอย่างต่อเนื่อง

การเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้พวกเราได้มีสร้างกลุ่มกันในแมสเซ้นเจอร์ เพื่อพูดคุยสนทนาและแลกเปลี่ยนความคิดกัน ก็ใช้เวลานานพอสมควรสำหรับวางโปรแกรมการท่องเที่ยวในครั้งนี้ จนกระทั่งได้ข้อสรุปที่สมบูรณ์แบบที่สุด และสำหรับทริปนี้พวกเราจะบินลัดฟ้าไปสัมผัสกับอากาศอันหนาวเย็นติดลบแบบสุดๆ ที่ประเทศเกาหลีใต้กัน โดยมีะยะเวลาทั้งหมดคือ 8 คืน กับอีก 9 วัน ก็เที่ยวกันแบบสุดๆ ไปเลยงานนี้

-
- ทริปนี้เดินทางด้วยสายการบิน Air Asia
-
- พร้อมครับ
การเดินทางในครั้งนี้พวกเราใช้บริการของสายการบินแอร์เอเซีย โดยใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงโดยเฉลี่ย กระเป๋าเดินทางแต่ละคนไม่ต้องบอกว่าบรรจุอะไรกันไปบ้าง น้ำหนักก็ปาเข้าไปเกือบจะเกินจากที่สายการบินกำหนดให้กันเลยทีเดียว 5555+
ระหว่างการเดินทางก็ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ก็เหมือนทั่วๆ ไปนั่นแหละ เอาไว้ไปเขียนเรื่องเที่ยวกันดีกว่านะ ตัดตอนไปที่ช่วงเวลาที่เครื่องๆ ใกล้จะลงจอดที่สนามบินอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ด้วยเวลาเกือบๆ บ่ายสองโมง เสื้อกันหนาวที่เตรียมเอาไปถูกนำมาใส่ห่อหุ้มร่างกายให้อบอุ่น รับการะเป๋าเดินทางกันเสร็จเรียบร้อยก็พากันเดินไปรวมตัวกัน สร้างภาพกันสักเล็กน้อยท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็น อุณหภูมที่สนามบินอยู่ที่ 0 องศา ถึงแม้ยังไม่ติดลบ แต่มันก็ทำให้ร่างกายของพวกเราเย็นยะเยือกได้เหมือนกัน 5555+

ขอกล่าวถึงสถานีรถไฟที่เกาหลีใต้สักหน่อย ที่นี่จะแตกต่างกับที่ญี่ปุ่นเอามากๆ การเดินไปจุดเชื่อมต่อหรือขบวนรถที่พวกเราจะไปยังสถานที่ต่างๆ จะต้องใช้ระยะทางและระยะเวลามากกว่าที่ญี่ปุ่นมากๆ ก็เลยทำให้พวกเราถึงกับเมื่อยขาและเมื่อยน่องไปตามๆ กัน 5555+

จากสนามบินอินชอน พวกเราก็ต้องนั่งรถไฟใต้ดินเดินทางไปยที่พักที่สถานี Gongdeok และที่นี่จะเป็นศูนย์กลางสำหรับพวกเราตลอดทั้งทริป 8 คืน 9 วัน เพราะมันสะดวกสำหรับการเดินทางไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ ซึ่งทางคุณโอ๋ได้เป็นคนเลือก พอโผล่พ้นจากสถานี Gongdeok เพื่อเดินไปยังโรงแรมที่พัก พระเจ้า! อุณหภุมิจาก 0 องศาที่สนามบิน ตอนนี้วัดได้ที่ -6 องศา หนาวยะเยือกกันสิครับงานนี้ บรื๋อ! หนาวมากกก หนาวจนมือเจ็บและชาไปหมด หนาวจนต้องรีบดึงถุงมือออกจากเป้มาสวมใส่ในทันที ไงหละทีนี้ อยากมาสัมผัสกับอากาสหนาวเย็นติดลบกันใช่มั้ย สมใจอยากหรือยัง อืม! แต่พวกเราก็ชอบนะ ว่ามั้ย?
-
- เอ่อ! คนข้างกายขอนีสสสส
-
- พวกเราพร้อมลุยยยยย

-
- ถึงหละสถานี Gongdeok
-
- ขออีกหน่อยนะจ๊ะ
หลังจากเข้าห้องเก็บกระเป๋าและพักผ่อนให้คลายความหนาวสักพัก พวกเราก็พากันออกเดินทางไปหาอาหารเกาหลีอร่อยๆ กินกัน ก็ต้องบอกว่าอาหารที่เราไปกินคืนนั้น อร่อยมากๆ จริงๆ อร่อยจนเราสามคนต้องย้อนกลับไปกินกันอีกรอบก่อนเดินทางกลับประเทศไทย ก็มันอร่อยมากนี่นา ว่ามั้ย?

-
- ถึงห้องหละ พวกเราจะพักกันที่นี่ตลอดทั้งทริป
-
- นอนโซฟาเบดเลยคุณป๊อป
ในทริปนี้ไฮไลท์ของการท่องเที่ยวก็คือ การเดินทางขึ้นเขาไปสัมผัสกับหิมะกันที่ Deogyusan National Park งั้นก็ขอตัดตอนมาเล่าเรื่องการเดินทางและทริปเที่ยวชมหิมะกันก่อนก็แล้วกันนะ ส่วนสถานที่อื่นๆ ก็ขอเอาไว้เล่าในตอนต่อไปก็แล้วกัน
ช่วงเช้าของวันที่ 3 มกราคม 2562 (วันที่ 6 ของการท่องเที่ยวเพื่อไปชมหิมะ) พวกเราตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่ของวัน ก็ตั้งนาฬิกาปลุกกันตอนตี 5 เลย อันนี้กลัวไม่ตื่นต้องใช้เครื่องเตือน 5555+ ก็นัดพบกันที่ด้านล่างของโรงแรมในเวลาหกโมงเช้าเพื่อเดินทางขึ้นไปสัมผัสกับหิมะ และเผชิญกับความหนาวเหน็บของอากาศที่อุณหภูมิติดลบ ซึ่งพวกเราก็ยังไม่รู้ว่าเท่าไหร่ติดลบกี่องศากันแน่ แต่ที่รู้ “หนาวแน่ๆ งานนี้ “

การเดินทางเราก็จะต้องนั่งรถไฟจากสถานี Gongdeok เพื่อไปลงที่สถานี Oksu หลังจากนั้นก็เปลี่ยนขบวนรถไฟอีกครั้งเพื่อเดินทางต่อไปยังสถานี Numbu Bus Terminal เพื่อไปขึ้นรถบัสสำหรับเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง เย้! วันนี้จะได้เห็นหิมะแล้วววว (แอบตะโกนดังๆ อยู่ในใจ) ดีใจสิครับงานนี้ เอ่อ! แต่ว่าเราจะทนความหนาวเย็นของอากาศได้มั้ยหนอ แล้วกล้องถ่ายรูปจะน็อคมั้ย? อันนี้คือปัญหา ว่ามั้ย? เดี๋ยวก็รู้ ตามอ่านกันต่อไปนะครับ
-
- พร้อมเดินทางไปลุยหิมะกัน
-
- ยืนรอรถไฟท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็น

-
- สถานี Numbu Bus Terminal
-
- มีตุนกระแฟขวดยักษ์กันด้วย
เวลา 07.00 น. พวกเราเดินทางถึงสถานีรถไฟ Numbu Bus Terminal เพื่อที่จะนั่งรถบัสต่อไปยังจุดหมายปลายทาง เพื่อไปสัมผัสกับหิมะและอากาศอันหนาวเหน็บ ท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ จะลบกี่องศาเดี๋ยวได้รู้กัน แต่ที่แน่ๆ พวกเราต้องตุนเสบียงกันไว้ ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ หรือขนม ไม่กี่อึดใจก็ได้เวลาออกเดินทาง

-
- หน้าตาสดชื่นและตื่นเต้นที่จะได้ไปเจอหิมะ
-
- พร้อมมั้ย? พร้อมมากบอกเลย
การเดินทางจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ระหว่างก็มีหยุดพักเพื่อให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำกันด้วย สำหรับผมก็อาจจะมีการเขียนเรื่องระหว่างการเดินทางเพื่อให้ผู้ชมได้รับรู้เรื่องราวและประสบการณ์ของการท่องเที่ยวในทริปนี้ อุณหภูมิในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ -10 องศา

สำหรับการเดินทางก็ถือว่าไม่ได้ยุ่งยากและซับซ้อนอะไรมาก งานนี้ก็ต้องขอขอบคุณคุณ“สณฑ์” คนไทยที่มาทำงานเป็นเชฟอยู่ที่นี่เกาหลีใต้ถึง 7 ปี ได้มาช่วยเป็นไกด์นำทางและอำนวยความสะดวกให้กับพวกเรา ในช่วงที่พวกเรายืนรอรถเพื่อเดินทางขึ้นไปชมหิมะ อุณหภูมิก็อยู่ที่ -3 ถึง -5 องศา หนาวจนเจ็บมือไปหมด เอ่อ! คิว่าคนอื่นเขาไม่เจ็บหรอกเพราะเขาใถุงมือ ผมคนเดียวแหละที่ถอดเพราะต้องใช้นิ้วกดชัตเตอร์เพื่อทำการบันทึกภาพ ถ่ายภาพเสร็จก็ต้องรีบใส่ถุงมือเหมือนเดิม เวลาจะถ่ายรูปใหม่ก็ต้องถอดอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไปแต่ก็ต้องยอมนะ บอกเลย
-
- หนาวจนฟัน เอ้ย! ควันออกปาก
-
- ภาพแนวๆ กันนีส

ระหว่างการเดินทางด้วยรถบัสอีกหนึ่งต่อ สองข้างทางก็เริ่มตื่นตาตื่นใจกับภาพที่ได้พบเห็น เฮ้ย! น้ำในลำธารข้างถนนกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว พระเจ้าช่วยด้วย แล้วข้างบนเขาที่จะไปชมหิมะอุณหภูมมันจะติดลบกันเท่าไหร่กันเนี่ย แอบลุ้นอยู่คนเดียวในใจ 5555+
-
- มุ่งหน้าสู่ Deogyusan National Park
-
- หน้าตาดูมีความสุข

-
- เดินทางถึง Deogyusan Resort
-
- เฮ้ย! เจอหิมะแล้ว อุณหภูมิอยู่ที่ -5 องศา
พวกเราเดินทางมาถึงที่ Deogyusan Resort เวลาเกือบเที่ยงๆ ของวัน อุณหภูมิอยู่ที่ -5 องศา ก็ยะเยือกสิครับงานนี้ แต่ก็ต้องทนเพื่อความสุขในชีวิตว่างั้น จากด้านล่างที่ Deogyusan Resort พวกเราก็จะต้องนั่งกระเช้าเพื่อขึ้นไปสู่ยังยอดเขาด้านบนของ Deogyusan National Park ที่บริเวณด้านล่างรอบๆ รีสอร์ท จะเห็นเป็นลานหิมะขาวโพลน มีนักท่องเที่ยวและนั่งเล่นสกีกำลังเพลิดเพลินและสนุกสนานกันอยู่ เสื้อผ้าหลากสีสันมีให้เห็นจนเพลินตา


ได้เวลาก็พากันเดินไปนั่งกระเช้าเพื่อขึ้นไปสู่ยอดเขาที่เป็นจุดไฮไลท์ของทริปนี้ กระเช้าของเรานั่งกันสี่คนสบายๆ อืม! กระเช้าที่นี่สีจะออกจืดๆ นะครับ สีสันไม่สดใสเหมือนกับที่จีนและที่มาเลเซีย ระหว่างที่นั่งกระเช้าก็ไม่พลาดกับช็อตสำคัญ นั่นก็คือ การบันทึกภาพทั้งจากกล้องและจากสมาร์ทโฟน กระเช้าถูกยกตัวลอยขึ้นสู่ยอดเขาเรื่อยๆ อย่างช้าๆ อุณภูมิของวันนี้อยู่ที่ประมาณ 3-5 องศา ก็ผิดคาดจากที่เคยรู้มาว่าติดลบ 13 องศา ดีใจเลยงานนี้จะได้ไม่ต้องหนาวมาก มองลงไปยังด้านล่างซ้ายมือ มองเห็นนักเล่นสกีไถลตัวลงจากยอดเขาอยู่ตลอดเวลา เหนือขึ้นไปจะมีกระเช้าสำหรับพานักเล่นสกีขึ้นไปยังยอดเขาด้านบนอยู่เป็นช่วงๆ

เวลาผ่านไปประมาณไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กระเช้าก็พาพวกเราขึ้นไปสู่ยอดเขาอย่างปลอดภัย เดินออกจากกระเข้าก็มุ่งหน้าสู่สถานที่ที่เราจะมาสัมผัสกันในวันนี้ พอเดินออกไปด้านนอก อากาศอันหนาวเย็นยะเยือกก็ลอยมาสัมผัสทั่วทั่งร่างกาย ใบหน้าและมือนี่รู้สึกก่อนเลย ใส่ถุงมือด่วนสิครับรออะไร ผมนี่กลัวจริงๆ มันหนาวจนเจ็บมือไปหมด หนาวจนจะถ่ายรูปไม่ได้เลยจริงๆ (จุดอ่อนของผมเอง 5555+)

ทางด้านหน้าจะเจอกับหิมะที่ขาวโพลนไปทั่วทั่งบริเวณ เห็นเครื่องพ่นหิมะเทียมด้วย อ้าว! ซะงั้น คือจริงๆ แล้ววันนี้เกิดการผิดพลาด หิมะไม่ตกตามธรรมชาติ จริงๆ คือมันตกเมื่อวาน พวกเราช้าไปหนึ่งวัน เสียดายจริงๆ ไม่งั้นคงได้ภาพสวยกว่านี้เป็นแน่แท้เลยเชียว

เราสองคนถ่ายรูปกับป้ายของสถานที่ด้านหน้าเสร็จก็พากันเดินตามกันไปยังด้านในสุด ที่ใกล้ๆ กับป้ายจะมีเก้าอี้ให้นักท่องเที่ยวมาหยุดนั่งใส่อุปกรณ์สำหรับเดินบนหิมะ ทางด้านขวามือก็จะมีร้านค้าขายของกินและกาแฟเอาไว้คอยบริการ แต่ก็จะต้องถอดอุปกรณ์เสริมที่เดินบนหิมะก่อนถึงจะเข้าไปใช้บริการได้ ทำตามสิครับรออะไร

เดินผ่านเข้าไปด้านในสุดท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็น อุณหภูมิก็ยังคงอยู่ที่ 3.5 องศา แต่ทำไม่มันหนาวจับใจแบบนี้ก็ไม่รู้ เดินไปก็ถ่ายรูปไปด้วยเป็นระยะๆ เดินไปได้สักระยะต่างคนก็ต่างแยกกันเดิน เราสามคนแยกตัวมาเดินต่างหาก เพราะว่าคนข้างกายขาไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ก็เลยพากันเดินอย่างช้าๆ วันนี้ฟ้าเปิดสวยงามมาก ท้องฟ้าสีเข้มสวยเลยทีเดียว โอ้ย! ประทับใจมากกกกบอกเลยสวยแทบทุกรูปกันเลยทีเดียวถูกใจคนสร้างภาพอย่างผมเลยจริงๆ

“ข้างบนสวยมากนะพี่กร พี่จอย” หนึ่งในเสียงของทีมเราพูดบอกและเชิญชวน
“พี่ว่าจะเดินเล่นถ่ายรูปอยู่ด้านล่างนี้ดีกว่านะ” คนข้างกายตอบกลับไป หลังจากที่รับทราบคำตอบแล้วก็เป็นอันรับรู้กัน ไม่นานต่างคนก็แยกย้ายกันไปตามทางและจุดมุ่งหมายของตัวเอง ผมกับคนข้างกายก็เดินเล่นและถ่ายรูปหิมะอยู่กันด้านล่าง หนาวก็หนาว สวยก็สวย จะถ่ายรูปทีก็ต้องถอดถุงมือ ถ่ายเสร็จความหนาวเย็นก็มาเยือนแบบฉับพลัน ก็ต้องรีบดึงถุงมือออกมาสวมใส่ในทันที เฮ้อ! มันช่างทรมานอะไรเยี่ยงนี้ แต่เพื่อที่จะได้ภาพที่สวยๆ ก็ต้องทน ไหนๆ ก็เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลกันมาแล้ว ก็ต้องมีภาพออกไปอวดคนทางประเทศไทยกันบ้าง ว่ามั้ย?
-
- รูปคู่กันหน่อย
-
- สวยงามตามท้องเรื่อง

นักท่องเที่ยวเริ่มทะยอยเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง บ้างก็ใส่เสื้อสีสันสดใส สีแดงบ้าง สีฟ้าบ้าง เห็นมีสีเหลืองด้วย แต่ที่เห็นส่วนใหญ่ก็จะใส่สีดำกันเสียส่วนมาก บริเวณนี้ก็จะมีเครื่องพ่นหิมะเทียมอยู่ด้วยเหมือนกัน พ่นออกมาเป็นละอองฝอยๆ ดูแล้วสวยงามจนต้องยกกล้องขึ้นมาบันทุกภาพกันหลายเฟรมทีเดียว ส่วนภาพถ่ายของคนข้างกายนี้ไม่ต้องห่วง มีเพียบ มุมตรงโน้นที ตรงนั้นที เยอะแยะมากมายหลายสิบภาพ ไม่สิ เป็นร้อยๆ ภาพเลยหละงานนี้ 5555+

บริเวณตรงนี้จะเป็นลานกว้างๆ ทางด้านขวามือจะเป็นที่โล่งที่มองเห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงาม มองไกลออกไปจะเห็นภูเขาเหลื่อมซ้อนกันหลายลูก บนยอดเขาจะเห็นสีขาวของหิมะสลับกับสีเขียวของต้นไม้ ที่ตรงนี้จะมีรั้วไม้กันเอาไว้ กันไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินล้ำออกไป และเป็นการสร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวอีกด้วย แต่ว่ามีมุมนี้เราก็ได้ภาพสวยๆ อยู่ด้วยหลายภาพเลยทีเดียวนะ (ดูภาพประกอบ)
-
- ภาพคู่ต้องมีบ่อยๆ นะ
-
- ถ่ายรูปกับป้ายหน่อย เอ่อ! แปลว่าอะไรก็ไม่รู้อะ
มองตรงไปยังบริเวณด้านในสุดจะมีบันได้สำหรับขึ้นไปสู่ยังด้านบนยอกเขา ตามบันไดจะทำเป็นตาข่ายสานไขว้กันไปมา เห็นมีหิมะเกาะอยู่เต็มไปหมด เวลาก้าวเดินก็ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ผมเดินขึ้นไปยังด้านบนไม่ไกลมากนักเพื่อทำการบันทึกภาพมุมสูง มองลงมาจะเห็นลานกว้างๆ ที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ มองเห็นนักท่องเที่ยวกำลังสาละวนอยู่กับการบันทึกภาพกัน เห็นเด็กสามสี่คนกำลังเล่นไถลตัวไปมาอย่างสนุกสนาน บันทึกภาพท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บเย็นยะเยือกจนปวดนิ้ว ก็ได้หลายภาพอยู่จนเป็นพอใจก็ได้เวลาเดินกลับไปยังด้านล่าง

-
- จะขึ้นหละนะ หนาวมากกกกก
-
- เจอแล้ว หิมะค้างบนใบไม้ 5555+
ที่บริเวณด้านล่าง เราสองคนก็เดินไปมุมโน้นบ้างตรงนี้บ้าง เพื่อทำการถ่ายรูปกัน งานนี้ก็กดชัตเตอร์ไปเยอะทีเดียว บันทึกภาพจนมือเจ็บและชาไปหมด ชาจนกลัวว่าช่วงที่หยิบเลนส์มาเปลี่ยนจะทำเลนส์ตก เพราะมันชาจนเริ่มจะไม่รู้ว่าหยิบแล้วหรือยัง อ้าว! ซะงั้นงานนี้ก็ต้องระมัดระวังให้มากในช่วงหยิบเลนส์มาเปลี่ยนถ้าปล่อยเลนส์ตกมือร่วงไปกระแทกกับพื้นก็งานเข้าและเศร้าแน่ๆ เลย


เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ กลุ่มของพวกเราก็เริ่มพากันทะยอยลงมาสมทบ รอจนครบคนก็ได้เวลาเดินกลับไปยังบริเวณด้านหน้าที่เป็นร้านอาหาร นี่ก็เลยเวลาเที่ยงมาแล้ว เดินชมหิมะและสร้างภาพกันจนเกิดอาการเหนื่อยล้าและหิว พวกเราเลยพากันแวะเข้าไปด้านในจัดอาหารมื้อเที่ยงกันตอนบ่ายกันซะที่นี่เลย ก็อิ่มเอมกันทั้งวิวทิวทัศน์ที่เป็นหิมะและอาหารมื้อเที่ยงกันไปพร้อมๆ กันเลยงานนี้

เวลาประมาณบ่ายสองกว่าๆ หลังจากรับประทานมือเที่ยงกันเสร็จก็ได้เวลาเดินทางกลับ ขากลับกลับก็ต้องนั่งกระเช้าเหมือนเดิม พวกเราก็ได้นั่งกันห้าคนเหมือนตอนขาขึ้นไปนั่นแหละ ตอนขาลงก็เริ่มผ่อนคลายกันหละ เหนื่อยก็เหนื่อย หนาวก็หนาว ล้าก็ล้า แต่ก็ยังมิวายที่จะยกกล้องขึ้นมาบันทึกภาพกัน แสงแดดสีเหลืองอ่อนๆ ในหน้าหนาวเริ่มมีให้เห็น ดูแล้วสร้างความอบอุ่นให้ได้เหมือนกัน (มโนเอาว่าอุ่น 5555+)

ใช้เวลาลงมายังด้านล่างก็พอๆกับช่วงขาขึ้นไปถ่ายรูปคนเล่นสกีที่อยู่ด้านล่างขวามือเพลินๆกระเช้าก็เคลื่อนตัวพาเราเข้าไปจอดยังบริเวณด้านล่างพอดีพากันเดินออกไปยังบริเวณด้านนอกกันหลังจากนั้นก็มีบันทึกภาพหมู่เป็นที่ระลึกกันอีกหนึ่งภาพเสร็จแล้วก็พากันเดินกลับออกไปยังบริเวณด้านหน้าที่รถบัสจอดส่งพวกเราในตอนแรกเข้าห้องน้ำห้องท่ากันเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาเดินทางกลับ

ทริปนี้ก็เป็นอันสิ้นสุดกันอย่างเรียบร้อยสวยงามพระรามแปด งานนี้ก็ได้ภาพสวยๆ กันเยอะแยะทีเดียว สำหรับผมคนสร้างภาพก็กดชัตเตอร์ไปร่วมๆ สามร้อยภาพกันเลยทีเดียว ประทับใจและสุขใจจริงๆ ถึงแม้จะแลกกับความหนาวเหน็บและการการเดินทางที่ต้องต่อรสบัสกันหลายต่อก็ตาม แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าจริงๆ สำหรับทริปนี้ เชื่อสิ 5555+
