ห่างหายกันไปสักพักใหญ่ๆ กับคอลัมน์ขับรถเที่ยวหรือ Travel Trip ครั้งนี้จะพาไปพบกับเรื่องเที่ยวสนุกๆ ย้อนอดีตวันวานกันสักนิด โดยสถานที่ท่องเที่ยวปลายทางก็อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก และที่นั่นก็คือ “หัวหิน” โดยมียานพาหนะอย่างรถยนต์ Mitsubishi Mirage รุ่นปรับโฉมใหม่เป็นเพื่อนคู่การเดินทาง
สำหรับรถยนต์ Mitsubishi Mirage เป็นรุ่นใหม่ที่ปรับโฉมมาจากรุ่นเดิม หรือที่เรียกกันว่า Minerchange คันนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ MIVEC ขนาด 1.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน/เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ระบบส่งกำลังเป็นแบบอัตโนมัติ INVECS-III CVT พร้อมระบบ INC ที่ช่วยตัดกำลังไปยังเพลาขับอัตโนมัติเมื่อจอดติดไฟแดง ช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันมากขึ้น รองรับน้ำมันที่เป็นทางเลือกสูงสุด E20
รูปทรงทั้งภายนอกภายในของมิราจคันนี้ ถือว่าทำออกมาได้ดีกว่ารุ่นเดิมมากทีเดียว งานค่อนข้างปราณีตกว่ารุ่นเดิม มีการติดตั้งไฟแอลอีดีทั้งด้านหน้าและไฟท้ายมาให้อย่างสวยงาม ในส่วนของที่นั่งภายในก็ดูหรูขึ้นมากโดยเฉพาะเบาหนังแท้สีดำพร้อมเดินด้ายตะเข็บสีแดงเข้มๆ ดูแล้วคลาสสิคมากๆ เมื่อรับรู้เกียวกับรายละเอียดของยานพาหนะพอเป็นสังเขปแล้ว คราวนี้ก็จะได้เริ่มต้นออกเดินทางท่องเที่ยวกันเสียที
ระยะทางจากกรุงเทพ ฯ ไปยังหัวหินก็ประมาณ 200 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางอยู่ที่ 3 ชั่วโมง โดยการเดินทางในครั้งนี้เราไม่ได้เร่งรีบอะไรมากมายนัก ขับกันไปเรื่อยๆ ชิลล์ๆ
อันดับแรกที่ต้องทำทุกๆ ครั้งระหว่างเดินทางนั่นก็คือ เปิดเพลงขับกล่อมเพื่อสร้างอารมณ์สุนทรีย์ รถคันนี้ติดตั้งระบบ Apple Car Play มาให้ด้วย ไม่รอช้ารีบนำสายเสียบผ่านจากสมาร์ทโฟนต่อไปยังช่องต่อยูเอสบีเพื่อเชื่อมต่อระบบ การเชื่อมต่อถือว่าทำได้ง่ายและสะดวกมาก เชื่อมต่อเสร็จก็เลือกเพลงที่ชื่นชอบจากสมาร์ทโฟนเปิดฟังในทันที
นอกจากการเชื่อมต่อจาก Apple Car Play แล้ว ระบบเครื่องเล่นยังได้ใส่แผ่นเพลง MP3 มาให้อีกเกือบๆ ร้อยพลงด้วย ผู้ขับขี่และเพื่อนร่วมเดินทางสามารถที่จะเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงกันอย่างเพลินๆ เลยทีเดียว
วันนี้อากาศดูขมุกขมัวไม่ค่อยเป็นใจมากนัก บางช่วงก็มีแสงแดดสาดส่องลงมากระทบกับพื้นถนน บางครั้งบางเวลาก็ครึ้มๆ เอาเสียดื้อๆ ซะอย่างงั้น ขับรถและฟังเพลงจากเครื่องเสียงรถยนต์เพลินๆ ได้ประมาณครึ่งทางก็เลี้ยวเข้าไปหากาแฟดื่มแก้ง่วงที่ปั๊มน้ำมัน ที่ปั๊มน้ำมันเราก็เลยถือโอกาสเติมพลังงานให้กับเจ้ามิราจคันนี้ซะด้วยเลย ลืมบอกไปว่าเจ้ามิราจคันนี้สามารถที่จะเติมนำ้มันเบนซิน E20 ได้ด้วยนะครับ ดีต่อใจและประหยัดสุดๆ เลย
เติมน้ำมันให้รถ ได้จิบกาแฟให้ร่างกายสดชื่น และเข้าห้องน้ำทำธุระปะปังเสร็จเรียบร้อย คราวนี้ก็ได้เวลาขับรถมุ่งหน้าตรงไปยังจุดหมายปลายทางกันที่หัวหินกันต่อ โดยในคืนนี้เราสองคนได้เลือกสถานที่พักค้างแรมกันที่ “ฮ็อป อิน หัวหิน”
ในระหว่างที่รถขับเคลื่อนอยู่บนท้องถนน ความเร็วก็อยู่ที่ 80-100 กม./ชม. ก็ถือว่าขับสบายๆ บางช่วงบางตอนที่ถนนดีๆ ก็สามารถที่จะทำความเร็วได้ที่ 140 กม./ชม. รถคันนี้ก็สามารถเร่งแซงคันหน้าได้อย่างสบายๆ
. เวลาหกโมงเย็นกว่าๆ รถมิตซูบิชิมิราจก็เลี้ยวเข้าสู่สถานที่จะพักผ่อนกันในค่ำคืนนี้ที่ “ฮ็อป อิน หัวหิน” ซึ่งสถานที่ตั้งของที่พักก็อยู่ที่ปากซอยหัวหินที่ 51 นั่นเอง
ดับเครื่องยนต์และก้าวออกจากตัวรถ จัดแจงยกกระเป๋าเดินทางและสัมภาระอื่นๆ ที่จำเป็น ก้าวเดินเข้าไปทำการเช็คอินยังบริเวณด้านในของตัวโรงแรม และที่นี่ เราสองคนจะทำการนอนพักผ่อนทั้งหมดถึงสองคืนเพื่องานท่องเที่ยวกันโดยเฉพาะ อืม! ก็เกิดมาสายท่องเที่ยวก็ต้องเที่ยวสิครับ ว่ามั้ย?
สำหรับโรงแรม “ฮ็อป อิน หัวหิน” ถือเป็นอีกหนึ่งที่พักที่อยากจะแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยว ด้วยรูปแบบที่มีมาตรฐานในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของการตกแต่ง ความสะอาดสะอ้าน ความปลอดภัย รวมไปถึงทำเลสถานที่ตั้งที่หาง่าย ที่สำคัญราคายังเป็นมิตรกับเงินในกระเป๋าของเราอีกด้วย คืนนี้เราสองคนก็เลยขอนอนพักผ่อนเก็บพลังงานเอาไว้เที่ยวสำหรับวันรุ่งขึ้น โดยสถานที่ท่องเที่ยวที่จะไปย้อนอดีตในวันรุ่งเช้าของอีกวันก็คือ “เพลินวาน” นั่นเอง
ช่วงสายๆ ของอีกวันสำหรับการเดินทางไปเที่ยวย้อนอดีตกันที่เพลินวาน รถมิตซูบิชิมิราจ รุ่นปรับโฉม เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ แล้วเลี้ยวขวาออกจากบริเวณปากซอยซอยหัวหิน 51 มุ่งหน้าเข้าสู่ถนนสายหลัก ขับชิดขวาเพื่อไปเลี้ยวกลับรถ ต่อจากนั้นก็ขับมุ่งหน้าไปยัง “เพลินวาน” ด้วยความเร็วที่ 60-80 กม./ชม เครื่องเสียงในตัวรถถูกทำหน้าที่ขึ้นเหมือนเช่นทุกๆ ครั้งเพื่อสร้างคามเพลิดเพลินระหว่างการเดินทาง
ใช้เวลาในการเดินทางไม่กี่นาทีก็ถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่เราสองคนจะแวะเที่ยวกันในครั้งนี้ โดยที่เราจะต้องขับรถเข้าไปจอดยังสถานที่รับฝากรถที่อยู่ข้างๆ กับเพลินวาน อาศัยที่รถมิตซูบิชิ มิราจ ที่เป็นรถอีโคคาร์ขนาดเล็ก การขับผ่านซอกซอยเล็กไปยังที่ฝากรถจึงทำได้ง่ายดาย เราเสียค่าบริการรับฝากรถครั้งละ 40 บาทเท่านั้น ถามว่าแพงมากมั้ย ก็คงบอกได้ว่าราคาสมน้ำสมเนื้อ แถมยังปลอดภัยและดูแลรถของเราได้เป็นอย่างดีอีกด้วย อันนี้ชอบเลย
ออกจากตัวรถพร้อมกับอุปกรณ์ในการสร้างภาพ ทำการล็อครถด้วยกุญแจรีโมททันที กระจกมองข้างถูกพับเก็บอย่างช้าๆ เพื่อแนบกับตัวรถ บ่งบอกถึงความมั่นใจได้ว่าเราได้ทำการล็อครถเรียบร้อยแล้ว อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากจริงๆ สำหรับคนที่ชอบลืมอย่างเราๆ 5555+
เดินออกมาจนถึงบริเวณทางเข้าด้านหน้าของเพลินวาน อ้าว! เฮ้ย ทำไมหน้าตาของเพลินวานด้านหน้ามันผิดแปลกไปจากเดิม เราสองคนยืนงงสิครับพี่ คือมันเปลี่ยนเป็นโทนสีฟ้าๆ ออกแนวทะเลๆ รูปแบบฝาไม้เก่าๆ ไม่หลงเหลือให้เห็นอีกเลย ทำไมหละครับ อืม! แอบบ่นงึมงำคนเดียวในขณะที่อีกมือก็กำลังบรรจงประคองกล้องเพื่อทำการกดชัตเตอร์ แต่ก็อะนะ มันก็ดูสวยและแปลกตาไปอีกแบบ แต่ว่าอารมณ์เก่าๆ ที่ย้อนอดีตของวันวานที่เหมือนกับชื่อมันได้หายไป งั้นเดี๋ยวเราไปดูด้านในกันดีกว่า แต่ตอนนี้รู้สึกว่าท้องมันหิว เดี๋ยวต้องหาอะไรกินรองท้องกันก่อนเดินชมรอบๆ บริเวณกัน
พอเดินผ่านพ้นประตูเข้าไปยังบริเวณด้านใน ทางขึ้นจะทำเป็นบันไดให้เราเดินก้าวขึ้นไป ความรู้สึกแรกที่สัมผัสในขณะที่เดินขึ้นไปยืนอยุ่ยังบริเวณด้านบน อืม! บรรยากาศและการตกแต่งก็ยังคงเหมือนเดิมอยู่นะ จะเปลี่ยนแปลงบ้างก็ร้านอาหารที่อยู่ทางด้านซ้ายมือนั่นแหละ ตัวร้านจะเป็นสีเขียวญี่ปุ่นหวานๆ ร้านนี้ชื่อว่า เพลินวานพาณิชย์ (Plearnwan Panich) เราสองคนเดินตรงปรี่เข้าไปภายในร้านเพื่อสั่งอาหารมื้อเที่ยงมารับประทานกัน
พอนั่งที่โต๊ะเสร็จก็หยิบเมนูขึ้นมาดูรายการอาหาร เมนูส่วนใหญ่ของทางร้านทั้งหมดจะออกแนวโบราณย้อนยุค ที่นี่จะมีอาหารหลากหลายชนิดและหลากหลายเมนูให้ได้เลือกกัน สั่งกาแฟเย็นโบราณกับชาไทยโบราณมาดื่มดับร้อนกันก่อนเลย หลังจากนั้นเมนูอาหารแนวโบราณย้อนยุคก็ทยอยตามมาติดๆ ไม่ว่าจะเป็น ไก่กรอบจิ้กโก๋, ข้าวหมูกระเทียมพริกไทยน้ำแจ่วมะเขือเทศ, มาม่าแซบหมูเด้ง, ยำกุนเชียง และปอเปี๊ยะสด
สำหรับรสชาติของอาหารก็อย่าได้คาดหวังอะไรมากนัก รสชาติออกกลางๆ แต่ก็ได้เสพอารมณ์โบราณๆ ที่มีใบตองเขียวๆ รองอยู่ใต้อาหารประมาณนั้น คือจริงๆ ต้องบอกว่าร้านนี้บรรยากาศค่อนข้างโอเคเลยนะ นั่งรับปะทานอาหารไปท่ามกลางแอร์เย็นๆ มันสดชื่นดี ทั้งร้านก็จะถูกตกแต่งด้วยรูปแบบของทะเลๆ โทนสีก็ออกสีฟ้าๆ ทั้งร้าน ดูแล้วก็สดชื่นดี แต่มันก็ขัดแย้งกับอาหารในสไตล์โบราณอยู่ดีแหละผมว่า แต่ก็อะนะ อย่าไปซีเรียสมากเดี๋ยวจะแก่เร็ว 5555+
หลังจากรับประทานมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาไปเดินชมรอบๆ บริเวณเพลินวานกันต่อ เดินออกจากร้านก็เลี้ยวไปทางขวามือ อืม! แต่ความรู้สึกมันดูโล่งๆ ไม่เหมือนเดิมยังไงไม่รู้ รูปแบบถูกดัดแปลงตกแต่งตัดทอน และมีบางอย่างถูกเพิ่มเติมเข้าไป เดินไปไม่กี่ก้าวก็จะเจอกับร้านค้าที่อยุ่ทางด้านซ้ายมือ เป็นร้านขายของเล่นเก่าๆ ย้อนยุคในวัยเด็ก ชื่อร้าน “ร้านของเล่นเพลินวาน” ภายในร้านก็จะมีของเล่นย้อนยุคมากมายวางอยู่เต็มไปหมด บ้างก็แขวนอยู่บนผนัง บ้างก็อยู่ในตู้ มีลูกแก้วและขนมที่เป็นหมากฝรั่งคล้ายๆ กับบุหรี่ อันนี้ผมเกิดทันได้เล่น 5555+
ขนมบางส่วนจะถูกจัดวางอยู่บนชั้น เวลาจะซื้อก็เลือกๆ เอา ที่รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างก็มี ร้านนี้เราก็เลยซื้อ “เกมเศรษฐี” กับ “บิงโก” ติดไม้ติดมือไปเป็นของสะสมย้อนอดีตกันซะด้วยเลย
ถัดจากร้านขายของเล่นย้อนยุค เดินไปทางขวาอีกเล็กน้อย ตรงนี้จะเจอกับรูปปั้นเด็กตัวขนาดใหญ่ใส่ชุดเล่นน้ำกางเกงตัวเดียว ยืนยื้มฟันขาวเต็มปาก ที่ต้นแขนสองข้างใส่ฟองน้ำสำหรับพยุงตัวไม่ให้จมเวลาลงไปเล่นน้ำ มือขวาถือป้ายกลมๆ ที่มีโลโก้เพลินวานติดอยู่ ที่ตรงนี่เราก็เลยหยุดสร้างภาพเป็นที่ระลึกกันซะด้วยเลย
จากรูปปั้นเด็กเมื่อมองลงไปก็จะเจอกับพื้นด้านล่างที่เป็นร้านค้า ส่วนทางด้านขวามือก็จะมีทางเชื่อมเป็น”สะพานปลา” สำหรับให้เดินไปยังอาคารที่มีร้านขายของและเป็นที่ตั้งของโรงแรมของเพลินวานทางด้านซ้ายมือก็จะมีอาคารที่สร้างคล้ายๆ กันที่มีชื่อว่า “ตลาดแสนเพลิน” เราสองคนเลยเลือกที่จะลงไปเดินชมยังบริเวณด้านล่างกันก่อน
ท้องฟ้าที่ดูอึมครึมมาตลอดตั้งแต่เดินเข้ามา แต่ในตอนนี้แสงแดดที่ร้อนแรงก็เริ่มได้เวลาทำหน้าที่ของมันแล้ว ทางพื้นด้านล่างก็จะมีร้านขายของอยู่ทางฝั่งขวามือเสียส่วนใหญ่ ฝั่งด้านซ้ายจะเป็นใต้ถุนโล่งๆ ซึ่งตรงนี้จะมีเรือตังเกที่ทำเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกัน ก็ทางเพลินวานเปลี่ยนเป็นแนวทะเลก็เลยมีเรือตังเกสิครับ ว่ามั้ย?
สร้างภาพกับเรือตังเกเสร็จก็เดินข้ามไปเดินทางฝั่งขวามือที่เป็นร้านค้า ความรู้สึกมันหลวมๆ เบาๆ ไม่เหมือนแต่ก่อนเลย บริเวณตรงกลางระหว่างสองข้างก็จะมีเก้าอี้วางตั้งอยู่เป็นระยะๆ ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักขากันหรือนั่งกินอาหารและขนม เราสองคนเดินชมและช้อปปิ้งที่ร้านค้าฝั่งขวามือไปอย่างช้าๆ ค่อยๆ ดู ค่อยๆ เลือกกัน ของขายส่วนมากก็ออกไปในทางย้อนยุคเสียส่วนใหญ่ บางร้านก็ขายเสื้อผ้าที่สกรีนเป็นชื่อเพลินวาน ใครใคร่ที่จะซื้อไปใส่เป็นที่ระลึกก็จัดกันได้เลย
ถัดไปจากร้านแรก็จะมีร้านรับวาดภาพคนเหมือนและภาพการ์ตูนล้อ โดยสนนราคาอยู่ที่ 99 บาท ใช้เวลาในการวาดไม่นานเพียงแค่ 10 นาทีก็เสร็จ เดินดูร้านค้าไปเหงื่อก็ไหลไปด้วย ก็แดดมันยังขยันทำงานอยู่นี่ครับ เดินไปอีกหน่อยก็จะเจอกับร้านขายของที่ระลึกที่ทำด้วยไม้ ทำเป็นรูปกล้องเก่าบ้าง รูปกีตาร์บ้าง เป็นพวงกุญแจบ้าง ฯลฯ มีชื่อร้านว่า “ฝากรัก Handmade” สินค้าก็เหมาะสำหรับซื้อไปฝากคนรู้จักหรือเพื่อนฝูงกันได้ หรือจะสั่งทำเอาไว้สำหรับแจกในเทศกาลก็ได้ด้วย
เดินเลาะๆ เรียบๆ เคียงๆ ผ่านร้านค้าไปจนสุดทางที่มีหัวรถบรรทุกสีแดง ตรงนี้ถือว่าเป็นไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวต้องหยุดสร้างภาพเป็นที่ระลึกด้วยเหมือนกัน สำหรับเราก็ไม่พลาดที่จะเดินผ่านไปแบบไม่ได้กดชัตเตอร์ อ้าว! ก็มาเที่ยวมันก็ต้องมีภาพสิครับ ว่ามั้ย?
จากรถบรรทุกมองเลยไปจนสุดด้านในจะมีชิงช้าสวรรค์หมุนอยู่ แต่ไม่มีคนขึ้นไปเล่น อาจเจะเป็นเพราะว่าอากาศมันร้อนก็เป็นได้ ก่อนที่จะเดินไปยังบริเวณชิงช้าสวรรค์ ทางด้านซ้ายมือจะมีบันไดให้เราได้ขึ้นไปยังชั้นที่สองของตลาดแสนเพลิน ผนังทั้งซ้ายและขวาจะทำเป็นลูกกรงของร้านค้าสมัยก่อนที่ทาสีส้ม ตรงนี้ก็เลยได้สร้างภาพกันไปอีกสองสามภาพ สบายใจนางแบบไป 5555+
สร้างภาพเสร็จก็เดินตรงไปยังบริเวณชิงช้าสวรรค์ เดินเลี้ยวขวาขึ้นบันไดไปยังอาคารของสะพานปลา ชั้นบนก็ยังคงมีร้านค้าขายของ, ขายขนมและขายของกิน รวมไปถึงโรงแรมที่พักของเพลินวานเอง เดินเล่นไปด้วยแวะช้อปไปด้วย รู้สึกว่าบรรยากาศมันเงียบๆ เหงาๆ นักท่องเที่ยวในวันนี้ก็บางตาไปกว่าแต่ก่อนมาก เราสองคนเดินไปจนสุดทางที่เป็นสะพานปลา หลังจากนั้นก็เดินไปตามทางลาดของสะพานแล้วลงไปยังด้านพื้นด้านล่างอีกครั้ง
คราวนี้ก็เลยเดินขึ้นไปชั้นที่สองที่เป็นตลาดแสนเพลิน ไหนๆ ก็มาแล้วก็ต้องเดินให้มันทั่วสิ ว่ามั้ย? ที่ตลาดแสนเพลินก็จะเป็นบริเวณที่ขายของกินเสียส่วนใหญ่ มีร้านขายก๋วยเตี๋ยว, ขายขนม, ขายน้ำ และขายของที่ระลึก มองไปรอบๆ ก็เห็นมีนักท่องเที่ยวนั่งรับประทานอาหารกันอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก
เวลานี้รู้สึกว่าแดดจะอ่อนกำลังลงไปบ้างแล้ว เดินกันจนทั่วบริเวณไปพร้อมๆ กับได้ของติดไม้ติดมือไปด้วย ใช้เวลาเดินก็เป็นชั่วโมงอยู่เหมือนกันสำหรับที่นี่ ยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูเวลา อืม! นี่ก็เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว เดี๋ยวมีขับรถไปเดินเล่นถ่ายรูปกันที่สถานีรถไฟหัวหินกันอีก
สำหรับที่เพลินวานในวันนี้ รู้เลยว่ามันไม่เหมือนเดิม มันไม่ย้อนยุคเหมือนเก่า อาจจะเป็นเพราะเจ้าของอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆ ก็เป็นได้ แต่ความรู้สึกเก่าๆ เดิมๆ ที่นักท่องเที่ยวได้เคยสัมผัสมากับคำว่าเพลินวาน กับคำว่าย้อนยุค ในเวลานี้มันได้หายไปแล้ว ก็ต้องรอดูการเปลี่ยนแปลงต่อไปในวันข้างหน้าว่า เจ้าของจะเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงสถานที่แห่งนี้ให้เป็นไปในรูปแบบไหน หรืออาจจะกลับมาในรูปแบบเดิมๆ ในรูปแบบของเพลินวานในอดีตก็เป็นได้ ในความคิดเห็นส่วนตัว ผมยังชอบในกลิ่นอายของรูปแบบเพลินวานเมื่อวานก่อนมากกว่า สำหรับคนอื่นก็คงแล้วแต่ความคิดของใครของมันก็แล้วกันนะครับ
การท่องเที่ยวย้อนอดีตวันวานในครั้งนี้ก็คงต้องสิ้นสุด เดี๋ยวเวลาที่เหลือก่อนพระอาทิตย์จะลาลับ เราสองคนจะขับมิตซูบิชิมิราจไปเดินเล่นถ่ายรูปกันที่สถานีรถไฟหัวหินกันอีกสักหน่อย ก็มาถึงหัวหินแล้วนี่ครับไปไปถ่ายรูปเช็คอินก็กระไรอยู่นะ ว่ามัย? ไปหละ
สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้ เราได้เพื่อนคู่การเดินทางอย่างรถยนต์ Mitsubishi Mirage รุ่นปรับโฉม เป็นรถอีโคคาร์เล็กๆ ที่ไม่ธรรมดา ถึงแม้จะมีเครื่องยนต์เพียงแค่ 1,200 ซีซี. แต่ก็สามารถที่จะพาเราเดินทางท่องเที่ยวไปในสถานที่ไกลๆ ได้เหมือนกัน ความเร็วระหว่าง 80-120 กม./ชม. ก็ถือว่าขับไปได้อย่างสบายๆ หรือถ้าต้องการเร่งความเร็วที่ 140 กม./ชม. ก็สามารถทำได้ การออกแบบและวัสดุภายในถือว่าทำออกมาได้ดีกว่ารุ่นเดิมมากทีเดียว ที่เก็บของด้านท้ายยังสามารถใส่จักรยาน(พับได้)ไปได้ด้วย โดยที่เราอาจจะต้องเอากระเป๋าเดินทางไปวางเอาไว้ที่เบาะด้านหลังแถวที่สอง เพียงแค่นี้เราก็สามารถเดินทางไปเที่ยวพร้อมกับจักรยานคู่ใจ เอาไปเที่ยวปั่นเล่นเพลินๆ กันได้เลย
มิตซูบิชิ มิราจ โฉมใหม่ ยังมาพร้อมกับอุปกรณ์ความปลอดภัย ด้วยการมีระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (ที่ความเร็วต่ำ) ถือเป็นระบบเสริมความปลอดภัยที่สำคัญ โดยระบบของรถจะมีการประเมินระยะห่างจากรถยนต์คันหน้า ถ้าหากพบว่ามีความเสี่ยงที่รถยนต์จะชนคันหน้าในช่องทางเดียวกัน ระบบในตัวรถจะทำการเตือนและช่วยชะลอความเร็ว ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญที่สุดที่รถคันนี้มีมาให้
ขอขอบคุณ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อรถยนต์ Mitsubishi Mirage สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้
..